เหตุเกิด….บนรถพยาบาล
ผศ.พญ.รพีพร โรจน์แสงเรือง แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน ศูนย์อุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลนครธน
สามีรายหนึ่งพาภรรยาวัย 45 ปี มาที่ห้องฉุกเฉินด้วยอาการหมดสติขณะกำลังซื้อรถยนต์อยู่
เขาเล่าว่า ขณะที่กำลังต่อรองราคากับเจ้าของรถอยู่นั้น จู่ ๆ ภรรยาก็เป็นลมหมดสติไปทันที ตอนฉันเข้าไปตรวจก็พบว่า เธอหมดสติไม่ตอบสนองต่ออะไรทั้งสิ้น ดังนั้น ฉันจึงตัดสินใจใส่ท่อช่วยหายใจเพื่อกันการสูดสำลักเศษอาหารเข้าปอด
ขณะใส่ท่อช่วยหายใจ เธอก็หลับสนิทไม่มีการต่อต้านขัดขืนใด ๆ ทำให้ฉันคิดว่าน่าจะมีความผิดปกติที่สมอง หลังจากส่งตรวจคอมพิวเตอร์สมองจึงพบว่า เธอมีเลือดออกในเยื่อหุ้มสมอง (subarachnoid hemorrhage) ซึ่งการรักษาต้องไปทำการฉีดสีหาตำแหน่งหลอดเลือดที่แตกในสมอง และฉีดสารไปอุดหลอดเลือดเส้นนั้น
ระหว่างรอจะส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่งนั้น เธอก็เริ่มรู้สึกตัวเป็นปกติและหายใจได้เอง ซึ่งคาดว่าเลือดในสมองคงหยุดไหลชั่วคราว แต่อย่างไรก็ดี ระหว่างขนย้ายไปโรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง เพื่อความปลอดภัยก็ควรคาท่อช่วยหายใจเอาไว้ก่อน
เธอต้องนอนไปในรถพยาบาลที่แล่นโขยกเขยก และมีท่อช่วยหายใจอยู่ในปากตลอดเวลา ช่างเป็นสภาวะที่ลำบากมาก
ถ้าใครเคยนั่งในรถพยาบาลมาก่อนจะพบว่า ท้ายรถพยาบาลจะอึดอัดมาก เนื่องจากประตูปิดทึบและเวลารถแล่นก็จะสะเทือนไปมา จนแม้แต่แพทย์และพยาบาลเองพอลงจากรถก็มักมีอาการเวียนหัวไปตาม ๆ กัน
ผู้ป่วยรายนี้…เธอต้องทนกับการนอนในรถที่สะเทือนไปทั้งตัวและคาท่อช่วยหายใจในปากทั้งที่รู้สึกตัวดีตลอด…ซึ่งทรมานมาก
เธอเริ่มดิ้นขยับตัวไปมา ซึ่งท้ายรถพยาบาลค่อนข้างแคบอยู่แล้ว การดิ้นของเธอจึงทำให้เครื่องมือทางการแพทย์ต่าง ๆ ถูกปัดหล่นหลายครั้ง
…แต่ระยะทางยังอีกไกลกว่าจะถึงโรงพยาบาลปลายทาง
การดิ้นไปมาของเธอทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น อาจทำให้เลือดแตกในสมองซ้ำอีกครั้ง ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อตัวโรคของเธอเอง
การดิ้นไปมาของเธออาจทำให้บุคลากรทั้งหมดรวมทั้งตัวฉันได้รับบาดเจ็บได้ หรือเครื่องมือทางการแพทย์เสียหายได้
แต่ถ้าฉันฉีดยานอนหลับให้เธอ ก็จะทำให้แพทย์ระบบประสาทที่รออยู่ที่โรงพยาบาลปลายทางไม่สามารถตรวจอาการของเธอได้ เพราะยาที่ฉีดจะทำให้เธอนอนหลับและกลบอาการของเธอได้
….ถึงเวลาที่ฉันต้องตัดสินใจ
ฉันเกิดความคิดหนึ่งที่ต้องการจะพูดคุยให้เธอเข้าใจ…แทนการฉีดยาให้เธอ
“คุณคะ หมอเข้าใจนะคะว่ามันทรมานมากที่ต้องนอนบนรถที่สะเทือนและโขยกเขยกจนน่าเวียนหัวมากขนาดนี้ ขนาดหมอเองยังเวียนหัวเลย แต่คุณยังต้องมีท่อช่วยหายใจคาในปากอีก มันจึงทรมานมากกว่าปกติ”
เธอเริ่มหลับตาลงเพื่อระงับอาการเวียนหัวที่มากขึ้น
ฉันเริ่มลังเลว่าจังหวะนี้ควรทำอย่างไรต่อไปดี
“คุณชอบเพลงอะไรคะ หมอมีเพลงอยู่ในโทรศัพท์มือถือ เดี๋ยวหมอเปิดให้ฟังเพลิน ๆ ระหว่างเดินทางไหมคะ”
พยาบาลมองหน้าฉัน พร้อมกับส่ายหน้าว่าไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้
ฉันกระซิบกับพยาบาลว่า “บางครั้งเวลาคนเราทรมานมาก ๆ ถ้าเรามีจินตนาการไปคิดถึงเรื่องอื่น ๆ ที่ดี ๆ ก็ทำให้ทุเลาทุกข์ได้”
“หนูว่าท่าทางเธอคงไม่ชอบฟังเพลงนะคะ และเราไม่รู้ว่าเธอชอบเพลงประเภทไหน เพราะตอนนี้เราไม่รู้จะสื่อสารกับเธอยังไงดี”
เนื่องจากระยะทางกว่าจะถึงโรงพยาบาลปลายทางยังอีกไกล ดังนั้น ฉันจึงเริ่มคิดหาวิธีต่าง ๆ ในการสื่อสารกับเธอ “ลองเอาปากกาให้เธอเขียนลงบนกระดาษดีไหมคะ”
พยาบาลยังคงไม่เห็นด้วย “มันลำบากกว่าเดิมอีกนะหมอ แค่นี้เธอก็เวียนหัวจะแย่แล้ว”
ระหว่างที่ฉันปรึกษากับพยาบาลอยู่นั้น เธอก็เริ่มขยุกขยิกดิ้นไปมาอย่างหงุดหงิดและอึดอัดไม่สบายตัว
ฉันเฝ้าแต่คิดหาวิธีแก้ไข สักพักก็คิดออก “งั้นหมอลองวิธีนี้ดีกว่า”
ฉันคิดว่า ฉันจะพูดธรรมะเพื่อให้เธอผ่อนคลาย ถ้าโชคดีที่เธอพอมีพื้นฐานทางธรรมะอยู่บ้าง เธอก็น่าจะเข้าใจและสงบลงได้
ฉันจับมือของเธอไว้ก่อนจะเริ่มพูดว่า “คุณคะ ลองแยกใจออกจากกายนะคะ กายของคุณทุกข์ก็แค่รับรู้ว่ามันทุกข์และไม่สุขสบาย แต่อย่าปล่อยให้ใจของคุณหงุดหงิดหรือทุกข์ตามไปด้วยเลย ชีวิตทุกคนก็มีอุปสรรคค่ะ การเจ็บป่วยครั้งนี้ก็เป็นแบบฝึกหัดที่ผ่านมาทดสอบคุณนะคะ”
เธอนอนนิ่งสงบขึ้นและบีบมือตอบฉัน เพื่อแสดงว่าเธอกำลังฟังอยู่
“คุณโชคดีนะคะที่ภาวะเลือดออกในสมองครั้งนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้จนกลับมาเป็นปกติได้ค่ะ มันคุ้มมากที่จะต่อสู้กับโรคนี้เพราะผลลัพธ์ของมันดีมาก ๆ สามีคุณนั่งอยู่ข้างหน้ารถ เขาห่วงคุณมากนะคะ เขาอยากมานั่งท้ายรถเพื่อจับมือเป็นกำลังใจให้คุณ แต่ทำไม่ได้เพราะท้ายรถนี้มีบุคลากรแพทย์และพยาบาลนั่งกันเต็มแล้ว ลูกชายของคุณก็ไปรอรับคุณอยู่ที่โรงพยาบาลปลายทางนะคะ”
“ทุกคนรอบข้างพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้คุณหายนะคะ ตอนนี้ความทรมานกายครั้งนี้ทั้งรถที่สะเทือนจนปวดหลังหรือความเจ็บปวดจากท่อที่คาในปาก แค่เป็นอุปสรรคหนึ่งที่คุณต้องผ่านไปให้ได้ ลองแยกความทรมานของกายออกไปนะคะ ใจคุณไม่ต้องเจ็บปวดไปกับมันหรอกค่ะ แค่นอนนิ่งปล่อยทุกอย่างให้เป็นไป อะไรจะเกิด อะไรจะเจ็บแค่ไหน ก็ปล่อยและแค่รับรู้ ไม่ต้องเต้นไปตามความรู้สึก”
เธอเริ่มนิ่งสงบลง คิ้วที่ขมวดก็เริ่มคลายออก แต่เธอยังคงหลับตาอยู่ตลอดเวลา
“ทำตัวเหมือนคุณกำลังเฝ้าดู แต่ไม่ใช่คนที่กำลังแสดงเองนะค่ะ ให้คุณเฝ้าดูความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นต่อร่างกาย มันจะไม่ทรมานเหมือนคุณเข้าไปร่วมแสดงเองนะคะ”
“มันยากมากที่จะแยกกายกับใจออกจากกัน เพราะมันอยู่คู่กันมานานหลายสิบปี แต่พระที่เก่ง ๆ ซึ่งฝึกมาดีแล้วก็ทำได้นะคะ คุณอาจจะไม่เคยฝึกแบบนี้ แต่คราวนี้จำเป็นแล้วค่ะ คุณลองทำดู เพราะถ้าคุณหงุดหงิดมากขนาดนี้ ความดันในสมองอาจสูงมากขึ้นจนเลือดออกในสมองซ้ำได้นะคะ”
เธอนอนหลับตานิ่ง ๆ และคลายมือเหมือนปล่อยวางทุกอย่าง ดูเธอสงบขึ้น คิ้วที่ขมวดอยู่เริ่มคลายออก ที่สำคัญความดันโลหิตและชีพจรลดลงจนกลับสู่ภาวะปกติ
พยาบาลแอบชูนิ้วโป้งให้ฉัน
ฉันเองก็แอบดีใจที่เธอเข้าใจและเริ่มปฏิบัติตามที่ฉันพูด จนกระทั่งรถพยาบาลนำเธอมาส่งถึงโรงพยาบาลปลายทางได้อย่างปลอดภัย
ฉันดีใจที่เธอปฏิบัติตามได้เร็วอันทำให้เธอทรมานใจน้อยลง ซึ่งคนจะทำแบบนี้ได้มักต้องฝึกจิตให้นิ่งอยู่สม่ำเสมอ จนเมื่อยามคับขันก็มีสติพอที่จะปฏิบัติใจให้ทนต่อความทรมานที่เกิดขึ้นได้ทันที
มีปัญหาก็แก้ แก้ไม่ได้ก็ไม่เห็นต้องไปทุกข์ด้วยเลย เพราะถึงจะทุกข์ก็แก้ปัญหาไม่ได้อยู่ดี
โชคดีที่เธอเข้าใจและปฏิบัติตามได้เร็วจึงทรมานใจไม่มากนัก
เพราะถ้าเธอทำไม่สำเร็จ…ไม้ตายสุดท้ายของฉันก็คงต้องฉีดยานอนหลับให้