ค่านิยมสีผิวขาวหรือเข้มก็ชนะได้

ค่านิยมสีผิว ขาวหรือเข้ม ก็ชนะได้

ค่านิยมของสีผิวของแต่ละคนมาจากกรรมพันธุ์และเชื้อชาติ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนจากสีดั้งเดิมเป็นสีขาวได้อย่างถาวร แต่ในปัจจุบันมีความพยายามที่จะนำสารต่าง ๆ มาใช้เพื่อให้ผิวขาวหรือขาวอมชมพู ดังกรณีล่าสุดที่ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างแพร่หลายในโลกออนไลน์ จากการที่มีบริษัทอาหารเสริมผสมกลูต้าไธโอนยี่ห้อหนึ่ง อวดอ้างสรรพคุณในเรื่องผิวขาวกระจ่างใส ที่มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ "แค่ขาว...ก็ชนะ"

สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการประกอบวิชาชีพเวชกรรมทางด้านผิวหนังให้แพร่หลาย กว้างขวาง ถูกต้องตามหลักวิชาการ รวมทั้งสนับสนุน ส่งเสริมการวิจัย และเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน จึงต้องออกมาเตือนว่าเป็นอันตรายและส่วนใหญ่ไม่ได้ผลอะไร โดยสารตัวใดที่จะเข้าไปเปลี่ยนโครงสร้างทำให้ผิวขาวขึ้นได้นั้น จะจัดอยู่ในประเภทของยาที่ต้องใช้ภายใต้การควบคุมพิเศษจากแพทย์ เช่น สารไฮโดรควิโนน ซึ่งเป็นสารตัวเดียวกับที่ใช้รักษาฝ้า และโรคด่างขาว โดยสารดังกล่าวจะไปกัดผิว แต่หากใช้ไปนาน ๆ ก็มีปัญหาทำให้ผิวหน้าดำคล้ำ หรือบางคนทาไปแล้วกัดผิวจนทำให้เป็นโรคด่างขาวได้

รศ.นพ.นภดล นพคุณ นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยได้มีความพยายามที่จะเปลี่ยนค่านิยมของสีผิว ให้มีความรู้สึกพอใจกับสีผิวของตนเอง ขาวหรือเข้ม ก็ชนะได้ โดยคาดหวังให้ตระหนักถึงการให้ความสำคัญกับสุขภาพผิวและการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวขาวได้อย่างถูกวิธี พร้อมแนะการซื้อเครื่องสำอางผ่านอินเตอร์เน็ตหรือโซเชียลมีเดียที่ควรระวังให้มากที่สุด

“การที่มีผิวสีคล้ำนั้นมีข้อดีคือ ทำให้ไม่แก่เร็ว เพราะมีเม็ดสีมาก ช่วยป้องกันแสงอัลตราไวโอเลต ไม่ก่อให้เกิดริ้วรอย ลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนัง และเหมาะกับสภาพอากาศในประเทศไทย ที่สำคัญการมีผิวสะอาด ไม่มีสิว ไม่แห้ง ไม่มีริ้วรอย จึงจะถือว่าเป็นผิวสุขภาพดี สวยงามน่ามอง” รศ.นพ.นภดล กล่าว  

สำหรับการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางในปัจจุบันมีให้เลือกมากมาย ทั้งตามร้านขายส่ง ขายปลีก ตามตลาดนัดทั่วไป แต่ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ การสั่งซื้อเครื่องสำอางผ่านอินเตอร์เน็ตหรือโซเชียลมีเดีย เนื่องจากสินค้าเหล่านี้ใช้การโฆษณาเป็นการจูงใจลูกค้า แต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มีการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ดังนั้น ผู้ใช้สินค้ามักจะอาศัยความน่าเชื่อถือจากเพื่อนฝูงหรือการบอกต่อ ซึ่งเมื่อนำผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไปใช้แล้วมักจะมีปัญหาเรื่องของการแพ้ หรือมีผลข้างเคียงต่อร่างกายและผิวพรรณ และเป็นอันตรายต่อชีวิตและจิตใจ

พญ.ภาวิณี ฤกษ์นิมิตร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในยุคนี้โดยเฉพาะในแถบเอเชีย ทุกคนล้วนต้องการมีผิวขาวสว่างใส เพื่อช่วยเสริมบุคลิก ความงาม และสร้างความมั่นใจให้แก่ตนเอง อย่างไรก็ตาม สีผิวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนเกิดมาผิวคล้ำ ในขณะที่บางคนมีผิวขาวใส บางคนเป็นฝ้าหรือกระได้ง่าย

โดยสีผิวที่เห็นนั้นเกิดจากเม็ดสีที่อยู่ในผิวหนัง ตัวหลักคือ เม็ดสีเมลานินที่ให้สีดำ นอกจากนั้นยังมีแคโรทีนอยด์ เม็ดสีสีเหลืองและสีแดงจากฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงอีกด้วย เมลานินเม็ดสีเป็นตัวการหลักที่ให้เกิดสีดำ ซึ่งสร้างจากเซลล์ชื่อเมลาโนไซต์ในผิวหนัง โดยกระบวนการสร้างเมลานินนั้นมีความซับซ้อนหลายขั้นตอน เมลานินมี 2 ชนิดคือ ยูเมลานิน (eumelanin) และฟีโอเมลานิน (pheomelanin) ยูเมลานินมีสีดำเข้ม ขณะที่ฟีโอเมลานินมีสีดำแดง เมลาโนไซต์จะสร้างเมลานินเก็บไว้ใน “ถุงเก็บ” เรียกว่าเมลาโนโซม จากนั้นเมลาโนไซต์จะส่งเมลาโนโซมที่สร้างเสร็จแล้ว กระจายออกไปยังเซลล์ผิวหนังโดยทั่ว ทำให้เห็นสีผิวคล้ำขึ้น เซลล์ผิวหนังเองมีการผลัดเซลล์ออกตลอดเวลา โดยจะหลุดลอกออกเป็นขี้ไคล เมลานินในเมลาโนโซมก็เช่นกัน จะมีการย่อยสลายตัวและหลุดลอกออกไปพร้อม ๆ กับเซลล์ผิวหนัง กระบวนการสร้าง ถ่ายเท และสลายตัวของเม็ดสีนี้เกิดขึ้นวนเวียนอยู่ตลอดเวลา

“คนผิวขาวหรือผิวคล้ำล้วนมีจำนวนเซลล์เมลาโนไซต์เท่ากัน ที่ต่างกันก็คือ ถุงเมลาโนโซมของคนผิวคล้ำจะมีเมลานินที่เจริญเต็มที่กว่า สีเข้มกว่า มีสัดส่วนยูเมลานินมากกว่า ตัวเมลาโนโซมเองก็มีขนาดใหญ่กว่า จำนวนมากกว่า และย่อยสลายยากกว่าอีกด้วย ความสำคัญของสีผิวจึงอยู่ที่เม็ดสีเมลานิน มีหน้าที่ปกป้องเซลล์ผิวหนังจากอันตรายจากแสงแดด เปรียบได้กับยากันแดดที่ธรรมชาติให้ติดมากับผิวหนังมนุษย์นั่นเอง สังเกตเห็นได้ว่าประชากรที่อาศัยอยู่ในเขตร้อนใกล้เส้นศูนย์สูตร ผิวจะคล้ำกว่าประชากรที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคอื่น โดยเป็นกลไกทางธรรมชาติที่อาศัยเมลานินในการปกป้องเซลล์ผิวหนังไม่ให้เป็นมะเร็งหรือเสื่อมสภาพจากการโดนแดดจัดและร้อนแรง ซึ่งสอดคล้องกับสถิติที่พบว่าผู้ที่ป่วยเป็นโรคขาดเม็ดสีเมลานินแต่กำเนิดจะมีความเสี่ยงสูงมากในการเกิดมะเร็งผิวหนังพญ.ภาวิณี กล่าว  

ผศ.พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์ ประธานคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันได้เกิดกระแสความนิยมการมีผิวที่ขาว โดยเฉพาะจากการโฆษณาของผลิตภัณฑ์ทำให้ผิวขาวในสื่อต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เน้นแต่เฉพาะที่ใบหน้าและแขนขา แต่ได้สร้างกระแสไปถึงที่ผิวบริเวณซอกแขน ข้อศอก หัวเข่า และจุดซ่อนเร้นอื่น ๆ ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีความจำเป็นหรือไม่ อย่างไร และมีประสิทธิภาพแค่ไหน ซึ่งโดยทางวิชาการแล้ว ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใด ความเป็นจริงแล้ว การที่ร่างกายของเราสร้างสีผิวขึ้นมาก็เสมือนเป็นการสร้างเกราะป้องกันอันตรายจากสี โดยเฉพาะรังสีอัลตราไวโอเลตหรือรังสียูวีในแสงแดด โดยตัวการที่ทำให้ผิวของเรามีสีอย่างที่เห็นก็คือ เม็ดสีที่ทางวิชาการเรียกว่า เมลานิน โดยตัวเมลานินจะทำหน้าที่ดูดกลืนรังสียูวีเอาไว้ ไม่ให้ผ่านเข้าไปทำอันตรายถึงผิวหนังชั้นในและอวัยวะภายใน ดังนั้น การกระทำใด ๆ ที่พยายามกำจัดปริมาณเมลานินเพื่อให้ผิวขาวขึ้นก็เท่ากับเป็นการลดเกราะคุ้มกันตามธรรมชาติที่เรามีอยู่นั่นเอง

“การนิยมผิวขาวเป็นค่านิยมของคนไทยและคนเอเชียมาแต่โบราณที่นิยมผิวสีอ่อน ทั้งนี้เพราะผิวที่ขาวจะสื่อถึงความอ่อนเยาว์ ดูสะอาด สดใส รวมถึงอาจสื่อถึงความมีชีวิตที่สะดวกสบาย ไม่กรำแดดกรำฝน และยังเป็นการดึงดูดเพศตรงข้าม อันนี้จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้มีการศึกษาค้นคว้าหาสารต่าง ๆ ที่มีคุณสมบัติทำให้สีผิวอ่อนจางลง เพื่อสนองต่อความต้องการของผู้ที่อยากจะมีผิวขาว ซึ่งผลิตภัณฑ์ช่วยให้ผิวขาวที่มีขายในท้องตลาดจัดเป็นเครื่องสำอางเพื่อเสริมความงาม ไม่ได้มุ่งใช้สำหรับผู้ที่เป็นฝ้า หรือโรคผิวหนังที่มีการสร้างเม็ดสีผิวมากผิดธรรมดา เช่น ผิวเป็นรอยด่าง หรือเป็นปานดำ ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ผิวขาวเหล่านี้จึงสามารถซื้อหาได้ทั่วไป ผู้ใช้จึงต้องมีความรู้ความเข้าใจในการเลือกใช้ อย่าเชื่อแต่คำโฆษณาอย่างเดียว เพราะใช้แล้วผิวหน้าอาจไม่ได้ขาวผ่องอย่างที่คาดหวัง หรืออาจเกิดการระคายเคือง เป็นผื่นแพ้ ต้องเสียเงินทองและเวลาในการรักษา” .พญ.สุวิรากร กล่าว 

ผศ.พญ.สุวิรากร กล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้ซื้อผลิตภัณฑ์ต้องตระหนักว่าประสิทธิผลในการทำให้ผิวขาวจะไม่ได้เกิดขึ้นอย่างทันที แต่จะค่อยเป็นค่อยไป และผลที่ได้ไม่ถาวร เมื่อหยุดใช้ ผิวก็จะกลับมาเข้มเหมือนเดิมตามกรรมพันธุ์ของตนเอง ขณะเดียวกันผู้ใช้ต้องเข้าใจว่าความไวของคนเราในการตอบสนองต่อสารทำให้ผิวขาวในผลิตภัณฑ์อาจแตกต่างกัน เช่นเดียวกับการเกิดอาการแพ้สารในเครื่องสำอางที่บางคนก็แพ้ แต่บางคนก็ไม่แพ้ ดังนั้น หลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ผิวขาวเหล่านี้แล้ว บางคนจะรู้สึกว่าใบหน้าขาวขึ้นจริง ขณะที่บางคนอาจไม่รู้สึกว่าใบหน้าหรือผิวตัวจะขาวขึ้นเท่าไร หรือยังเหมือนเดิม

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ เช่น ขณะที่ใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ได้หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดด้วยหรือไม่ มีการรับประทานยาคุมกำเนิดในขณะนั้นด้วยหรือเปล่า มีความเครียด หรืออดนอนในช่วงที่ใช้ผลิตภัณฑ์หรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้มีส่วนเร่งให้ผิวหนังของเราสร้างเม็ดสีได้เพิ่มขึ้น และต้านประสิทธิภาพของสารในผลิตภัณฑ์ได้ จึงเป็นการยากที่จะได้ผลตามปรารถนาทุกราย

ทั้งนี้สีผิวของคนเราขึ้นอยู่กับพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม มีปัจจัยหลัก ๆ อยู่ 2 ปัจจัยที่กำหนดสีผิวของคนเรา คือปัจจัยที่ 1 กรรมพันธุ์กับสิ่งแวดล้อม เรื่องของกรรมพันธุ์เป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ถ้าเกิดมาเป็นคนผิวคล้ำ ให้ถือว่าเรื่องของสีผิวเป็นเพียงค่านิยมซึ่งก็ต่างกันไปในแต่ละเชื้อชาติ อย่างเช่น ฝรั่งซึ่งมีผิวขาวก็อยากที่จะมีผิวสีเข้ม ถึงกับต้องยอมไปเสี่ยงกับมะเร็งผิวหนัง อาบแดดทั้งตัว ปัจจัยที่ 2 ซึ่งพอที่จะป้องกันได้คือ สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะจากแสงแดด เพราะรังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดดเป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เซลล์ในผิวหนังสร้างเมลานินออกมา อย่างไรก็ดี การที่คนเราอยากมีผิวขาวจึงพยายามที่จะเอาชนะธรรมชาติด้วยวิธีต่าง ๆ มีการค้นคว้าหาสารสังเคราะห์หรือสารจากธรรมชาติที่จะสามารถช่วยกลบสีผิว ลดการสร้างสีผิว หรือแม้กระทั่งการเร่งการขจัดเม็ดสีผิว การลอกผิว ฯลฯ เพื่อให้ผิวขาวขึ้น แต่สารเหล่านั้นมีผลชั่วคราว พอหยุดใช้ ผิวก็จะกลับไปมีสีเข้มตามกรรมพันธุ์ของตนเหมือนเดิม

นอกจากจะขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์และการได้รับแสงแดดแล้ว กระบวนการสร้างเมลานินยังขึ้นอยู่กับระดับฮอร์โมนในร่างกายที่ควบคุมการสร้างเมลานินอีกด้วย อย่างเช่นในสตรีตั้งครรภ์ ผู้ที่รับประทานยาคุมกำเนิดหรือใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเพศ อาจมีผลทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนกระตุ้นการสร้างเมลานินให้มากขึ้น ทำให้มีโอกาสเกิดฝ้า หรือสีผิวคล้ำลงได้ รวมถึงความเครียด กังวล และอดนอน ก็มีผลต่อฮอร์โมนที่กระตุ้นการสร้างเมลานินได้เช่นกัน เรื่องของฮอร์โมนเป็นเรื่องที่ควบคุมได้ยาก แต่ก็ป้องกันได้บางส่วน เช่น เปลี่ยนวิธีการคุมกำเนิดด้วยการรับประทานยาคุมเป็นวิธีอื่น หรือหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่ผสมฮอร์โมนเพศ รวมถึงการทำจิตใจให้สบาย พักผ่อนให้เพียงพอ เป็นต้น

โดยสรุป การปกป้องผิวให้พ้นจากแสงแดดจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดเพราะเป็นธรรมชาติ ปลอดภัย และประหยัดที่สุด ในการรักษาสภาพผิวไม่ให้เข้มขึ้น ซึ่งยังช่วยป้องกันไม่ให้ใบหน้าเกิดฝ้า หรืออักเสบจากการถูกแดดแผดเผาอีกด้วย แต่ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงแสงแดดได้ ก็ควรป้องกันผิวโดยการทาด้วยโลชั่นกันแดดอย่างสม่ำเสมอ ถ้ามีการใช้สารช่วยให้ผิวขาวร่วมด้วย ควรมุ่งหวังเพียงฟื้นฟูสภาพผิวของเราให้กลับสู่สภาพเดิมก็ถือว่าได้ผลดีที่สุดแล้ว

นอกจากนี้สูตรตำรับช่วยให้ผิวขาวที่ผสมสารมากชนิดและมีราคาแพงไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ว่าประสิทธิภาพจะดีกว่าตำรับที่มีราคาถูกกว่าเสมอไป หลักการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวขาวก็จะเหมือนกับการเลือกใช้เครื่องสำอางทั่ว ๆ ไป คือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ตัวเรารู้สึกว่าใช้แล้วดี คือไม่แพ้ ไม่มีอาการระคายเคือง และราคาไม่แพง ที่สำคัญคือ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ควรผสมสารป้องกันแสงแดดร่วมด้วย ดังนั้น หากเรามีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสีผิวและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องก็จะทำให้มีวิจารณญาณเป็นของตัวเอง ไม่หลงเป็นเหยื่อของการโฆษณาและการสร้างค่านิยมเรื่องต้องผิวขาวเท่านั้นถึงจะสวยหรือดูดี เพราะถ้าแพ้ผลิตภัณฑ์ก็อาจมีอันตรายถึงเสียโฉมได้