“เพราะเด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ตัวเล็ก ๆ หัวใจสำคัญของกุมารแพทย์คือ ต้องอดทน และละเอียดอ่อน”

.คลินิก พญ.มุกดา หวังวีรวงศ์
 
“เพราะเด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ตัวเล็ก ๆ  หัวใจสำคัญของกุมารแพทย์คือ ต้องอดทน และละเอียดอ่อน”

ถ้าเอ่ยถึง .คลินิก พญ.มุกดา หวังวีรวงศ์ หัวหน้าแผนกโรคภูมิแพ้ ภูมิคุ้มกัน และโรคข้อ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงนึกถึงภาพของคุณหมอผู้ใจดีที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้ม ความเป็นมิตรที่มีให้กับหนูน้อยที่เจ็บป่วยและครอบครัวอยู่เสมอ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร คุณหมอก็มีความห่วงใยให้การรักษาที่ดีที่สุดกับทุกคนด้วยความคิดที่ว่า “ถ้าเป็นลูกเรา หลานเรา จะต้องให้การรักษาที่ดีที่สุด”

            ศ.คลินิก พญ.มุกดา สำเร็จการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อ พ.ศ. 2520 จากนั้นจึงศึกษาต่อแพทย์ประจำบ้านแผนกกุมารเวชกรรมที่โรงพยาบาลเด็ก กรมการแพทย์ จบวุฒิบัตรกุมารเวชศาสตร์ ปี พ.ศ. 2524 หลังจากจบการศึกษาได้ไปทำงานที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งประมาณ 4-5 ปี จึงย้ายกลับมาทำงานที่โรงพยาบาลเด็ก ประมาณปี พ.ศ. 2530 หลังจากนั้นได้เป็น Fellow โรคระบบหายใจเด็กที่โรงพยาบาลรามาธิบดี และได้ไปศึกษาต่อที่ St. Christopher’s Hospital for Children, Temple University, Philadelphia ประเทศสหรัฐอเมริกา 

            ศ.คลินิก พญ.มุกดา เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการเรียนแพทย์ให้ฟังว่า เนื่องจากสมัยเด็กค่านิยมในสมัยนั้นต้องเป็นแพทย์ และคิดว่าถ้าเป็นแพทย์จะได้ช่วยดูแลพ่อแม่ พี่น้องตัวเอง ญาติ ตลอดจนถึงคนอื่น โดยเลือกเป็นกุมารแพทย์หรือหมอเด็ก เพราะการดูแลคนไข้เด็กจะเป็นอะไรที่ตรงไปตรงมา เด็กจะน่ารัก ไม่มีมารยา เวลาป่วยก็จะดูออก พอหายป่วยจะกินและเล่นได้ เราสามารถรู้จากลักษณะท่าทางอาการของเขาได้เลยว่าเขาดีขึ้นแล้ว สิ่งนี้เป็นธรรมชาติของเด็ก ซึ่งต่างจากการดูแลรักษาคนไข้ผู้ใหญ่ที่บางครั้งอาจจะมีปัญหาทางกายควบคู่กับทางใจ  ด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้หมอตัดสินใจเลือกการเป็นหมอเด็ก

            สำหรับบทบาทหน้าที่ปัจจุบัน .คลินิก พญ.มุกดา เป็นหัวหน้าหน่วยโรคภูมิแพ้ ภูมิคุ้มกัน และโรคข้อ  รับผิดชอบโรคหอบหืด จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ แพ้อาหาร และโรคแพ้ต่าง ๆ โรคทางภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด และโรคข้อ รวมทั้งสอนแพทย์ประจำบ้านสาขากุมารเวชศาสตร์ แพทย์ประจำบ้านต่อยอดสาขาโรคภูมิแพ้ ภูมิคุ้มกัน และนักศึกษาแพทย์มหาวิทยาลัยรังสิตด้วย

            นอกจากนี้ .คลินิก พญ.มุกดา ได้เล่าถึงประสบการณ์กว่า 35 ปีของการเป็นกุมารแพทย์ให้ฟังว่า จุดที่ยากที่สุดในการดูแลคนไข้เด็ก โดยเฉพาะพวกเด็กเล็ก ๆ คือเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ขวบ เนื่องจากเด็กกลุ่มนี้เขาไม่สามารถให้ประวัติเราได้ เพราะเขายังเล็ก ยังไม่สามารถพูดสื่อสารให้เข้าใจได้ ดังนั้น จุดที่ยากที่สุดในกลุ่มคนไข้เด็กที่ยังสื่อสารกับเราไม่ได้ ประวัติจากพ่อแม่จะเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าเราได้ประวัติไม่ดี การที่จะวินิจฉัยโรคก็จะผิดไป จุดยากจึงอยู่ที่การซักประวัติจากพ่อแม่ เราต้องซักประวัติให้ละเอียดร่วมกับการตรวจร่างกายเพื่อเป็นส่วนประกอบในการวินิจฉัยโรคของเรา

            “หัวใจสำคัญของการเป็นหมอเด็กที่ดี สำหรับหมอคิดว่าคงต้องใช้ความอดทน และละเอียดอ่อน เพราะว่าคนไข้เด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ตัวเล็ก ๆ เพราะฉะนั้นวิธีการรักษา การให้ยาในคนไข้เด็กจะถือว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ตัวเล็ก ๆ ที่เพียงแค่ลดขนาดปริมาณยาลงไม่ได้ เพราะโรคของเด็กบางโรคก็จะไม่เหมือนกับในผู้ใหญ่ เราต้องใช้ความละเอียดเพิ่มมากขึ้นสำหรับคนไข้เด็ก และในส่วนที่หมอเด็กต้องอดทนคือ เราต้องอดทนต่อเสียงร้องไห้ เพราะเวลาที่เด็กร้องไห้ หมอจะตรวจไม่ได้ หมอเด็กแต่ละคนจึงต้องมีกลยุทธ์ของตัวเองในการหลอกล่อให้เด็กสงบเพื่อที่จะตรวจร่างกายได้ นอกจากนี้เราต้องมีความเห็นอกเห็นใจพ่อแม่ โดยเฉพาะเด็กที่หมอดูแลอยู่จะเป็นกลุ่มเด็กโรคเรื้อรังที่ต้องใช้เวลารักษานาน ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับคนไข้ต้องดีมาก เพราะถ้าความสัมพันธ์ไม่ดี เวลาที่ให้มาตามนัด พ่อแม่ก็ไม่อยากพาลูกมาพบหมอ เราต้องให้เขามีความรู้สึกว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ถามทุกข์สุขในครอบครัว เขาจะได้เกิดความรู้สึกว่าเราใส่ใจที่จะให้การดูแลลูกของเขา เขาจะไว้ใจหมอ หมอพูดอะไรก็เชื่อ และจะมาทุกครั้งที่หมอนัด”

.คลินิก พญ.มุกดา ยังกล่าวถึงความสุขที่ได้จากการเป็นกุมารแพทย์ให้ฟังว่า ความสุขที่หมอได้จากการทำงานตรงจุดนี้ส่วนใหญ่ได้มาจากคนไข้ หมอมีความสุขกับคนไข้ มีความสุขกับเพื่อนและผู้ร่วมงาน จึงทำให้เราอยากทำงานอยู่ตรงนี้ หมอเชื่อว่าการทำงานทุกที่จะต้องมีปัญหา สำหรับหมอจะใช้วิธีการปล่อยวาง ไม่คิดมาก คนไข้เป็นกำลังใจและทำให้เรามีความสุข โดยเฉพาะเวลาที่เขาหายและมาหา เรามีความรู้สึกว่าได้ช่วยเขา เป็นความรู้สึกที่ชื่นใจ

            “เวลาที่หมอเจอกับปัญหา ยอมรับว่าบางครั้งรู้สึกท้อ รู้สึกว่าเราควรจะทำอะไรกับชีวิตเราอย่างไร แต่ทุกครั้งก็มักจะได้กำลังใจจากคนไข้ที่มาหาเราเสมอ สิ่งที่ทำให้หมอมีความสุขคือ การได้สอนหนังสือ ดูแลคนไข้ ทำให้เราปล่อยวาง โดยหมอมีคติที่ตัวเองยึดถืออยู่เสมอคือ ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เราพอใจในตรงนี้ พอใจในสิ่งที่มีอยู่”

.คลินิก พญ.มุกดา กล่าวต่อว่า นอกจากการดูแลรักษาคนไข้เด็กที่เป็นโรคภูมิแพ้แล้ว อีกหนึ่งโครงการที่หมอดูแลรับผิดชอบอยู่คือ โครงการบ้านปลอดบุหรี่ ซึ่ง .นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่เป็นผู้ริเริ่มและชวนหมอมาทำ โครงการบ้านปลอดบุหรี่เป็นโครงการที่ดี เพราะว่าบุหรี่หรือควันบุหรี่มือสองมีอันตรายมาก โดยเฉพาะบุหรี่มือสองจะมีอันตรายมากกว่าบุหรี่มือหนึ่ง นอกจากจะเป็นสาเหตุทำให้เด็กเป็นโรคหอบหืดแล้ว ยังมีผลทำให้เด็กที่เป็นโรคหอบหืดอยู่แล้วมีอาการมากขึ้น และมีผลต่อโรคระบบหายใจ รวมทั้งมะเร็งปอดและชนิดอื่น ๆ มากมาย โดยเราเริ่มทำโครงการบ้านปลอดบุหรี่นี้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ซึ่งเราประสบความสำเร็จและได้ขยายโครงการทำต่อกันไป

            อย่างไรก็ตาม .คลินิก พญ.มุกดา ยังได้กล่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ของโรคภูมิแพ้ในปัจจุบันด้วยว่า โรคภูมิแพ้โดยเฉพาะโรคหอบหืดยังเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ ไม่ใช่แค่เฉพาะในประเทศไทย แต่เป็นปัญหาทั่วโลก อีกทั้งอุบัติการณ์การเกิดโรคภูมิแพ้นับวันก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับมลภาวะที่เป็นพิษของสิ่งแวดล้อม ซึ่งโรคภูมิแพ้สามารถเกิดได้จากหลาย ๆ ปัจจัยร่วมกัน และหนึ่งในนั้นคือ กรรมพันธุ์ ส่วนสาเหตุที่เหลือจากนั้นคือ สาเหตุจากสิ่งแวดล้อมทั้งในบ้านและนอกบ้าน สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยร่วมที่จะทำให้ก่อเกิดโรคภูมิแพ้ รวมทั้งปัจจัยจากตัวผู้ป่วยเองก็จะมีส่วนทำให้เขาแพ้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยโรคภูมิแพ้นี้สามารถเกิดได้ทุกช่วงอายุ แล้วแต่ว่าจะเป็นในระบบไหน และคาดว่าน่าจะมีแนวโน้มการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

            “นอกจากนี้หมอยังมีความเป็นห่วงเกี่ยวกับสุขภาพของเด็กในปัจจุบัน ซึ่งถ้ามองแบบองค์รวมจะเห็นว่าสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันมีปัญหามาก โดยเฉพาะเรื่องของอาหารจังค์ฟู้ด (junk food) ที่เป็นสาเหตุทำให้เด็กอ้วน ทำให้เราต้องประสบปัญหาเรื่องของเด็กอ้วนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในส่วนของพ่อแม่อาจจะมองว่าลูกอ้วนน่ารัก แต่เวลาที่เด็กพวกนี้ป่วยจะมีปัญหาและน่าสงสาร โดยเฉพาะถ้าเป็นไข้เลือดออกไม่สามารถแทงน้ำเกลือได้ นอกเหนือจากนั้นก็ยังจะมีโรคอื่น ๆ ตามมา รวมถึงเรื่องของ EQ, IQ ตลอดจนปัญหาความรุนแรงในเด็ก แม้ว่าพ่อแม่จะเป็นบุคคลสำคัญของลูก แต่อย่าลืมว่าสิ่งแวดล้อมและสื่อก็จะมีส่วนมาก เราจึงต้องใช้ความร่วมมือจากหลาย ๆ ฝ่ายร่วมกัน เพื่อลดความก้าวร้าวที่จะนำไปสู่ปัญหาบุหรี่และยาเสพติด”

            สุดท้ายนี้ .คลินิก พญ.มุกดา ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลรักษาคนไข้เด็กว่า ในการดูแลรักษาเด็ก หมออยากให้เป็นแบบองค์รวม สิ่งนี้ถือเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะในบางครั้งถ้าเราคิดว่าเรารักษาเขาเฉพาะหน้าตามอาการที่ป่วย แต่ในบางโรคที่แสดงออกในขณะนี้ บางครั้งไม่ได้จบแค่เพียงเท่านี้ ถ้าเรามีใจหรือดูแลแบบองค์รวม เราก็จะทราบและมองปัญหาได้กว้างขึ้น สิ่งนี้จะทำให้เราไม่พลาด และพ่อแม่ของคนไข้จะมีความรู้สึกว่าหมอใส่ใจ หมอเห็นลูกของเขาเหมือนกับลูกหลานของหมอ โดยตัวหมอเองจะสอนลูกศิษย์เสมอว่า สำหรับคนไข้เด็กเราต้องดูแลรักษาเป็นแบบองค์รวม ซึ่งถ้าสามารถทำแบบนี้ได้ เราก็จะประสบความสำเร็จในการที่จะดูแลรักษาผู้ป่วย หมอจะบอกกับลูกศิษย์ให้ถามตัวเองก่อนการรักษาเสมอว่า ถ้าเป็นลูกเรา หลานเรา จะให้การรักษาแบบนี้หรือไม่ ถ้าตอบตัวเองในส่วนนี้ว่าทำ แสดงว่าเราได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่คนไข้ แต่ถ้าตอบตรงนี้ไม่ได้ หมอคิดว่าเป็นการไม่ยุติธรรมกับคนไข้ เราคิดว่าเราทำดีที่สุดให้แก่คนไข้ แต่การดีที่สุดของเราก็ต้องถามเขาด้วย เพราะบางครั้งการดีที่สุดของเราอาจทำให้คนไข้ต้องไปกู้ยืมเป็นหนี้สิน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหมอไม่ได้หมายความว่าคนจนจะไม่มีสิทธิที่จะได้อะไร เนื่องจากปัจจุบันมีสิทธิในหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือมีสิทธิอย่างอื่นที่จะมาช่วยได้ ซึ่งถ้าสิทธิเหล่านี้ไม่ได้จริง ๆ หมอก็จะพยายามหาทุนอย่างอื่นช่วยเหลือ เพื่อให้เขาได้รับการรักษาและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น