คืน...เปิดใจ
ผศ.พญ.รพีพร โรจน์แสงเรือง ภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
ในการฝึกซ้อมทีมตอบโต้ภัยพิบัติทางการรักษาพยาบาลที่ปราจีนบุรี เป็นการฝึกซ้อมทั้งด้านการรักษาพยาบาลที่รวดเร็วและความรู้ด้านการบริหารจัดการในการทำงานช่วยเหลือผู้ป่วย ณ จุดเกิดเหตุที่มีภัยพิบัติ เช่น กลางป่า หรือในหมู่บ้านที่กันดาร เป็นต้น
ปัญหาที่พบบ่อย คือ
1. ทีมรักษาพยาบาลมักทำการรักษาจำเพาะซึ่งต้องใช้อุปกรณ์มากมาย ทั้งนี้เพราะยังยึดติดกับการรักษาเหมือนที่โรงพยาบาลซึ่งมีอุปกรณ์ทันสมัยที่เหลือเฟือ
2. ไม่ค่อยมุ่งเน้นในการขนย้ายผู้ป่วยอย่างปลอดภัย ทั้งนี้เพราะมักคิดว่ารถพยาบาลที่ใช้ขนย้ายผู้ป่วยน่าจะมีอุปกรณ์ทันสมัยครบครันเหมือนกับที่โรงพยาบาลของตนเอง
3. ไม่ค่อยใส่ใจในความรู้ด้านการบริหารจัดการด้านอื่น ๆ เช่น การสั่งการ การสื่อสาร หรือการประสานงานเป็นทีม เป็นต้น
ในด้านการรักษาพยาบาลนั้นมักมุ่งเน้นให้ทีมทำการรักษาเบื้องต้นโดยใช้อุปกรณ์ที่น้อยที่สุด และขนย้ายออกไปจากจุดเกิดเหตุให้เร็วที่สุด ทั้งนี้เพราะในที่เกิดเหตุทีมรักษาพยาบาลมักมีทรัพยากรที่จำกัด เช่น ผู้ป่วยมีลมรั่วในปอดก็ควรทำเพียงใช้เข็มเจาะระบายลมชั่วคราว หรือถ้าสัญญาณชีพไม่เปลี่ยนแปลงก็ไม่ต้องทำการรักษาใด ๆ เพียงแต่รีบขนย้ายออกมาจากจุดเกิดเหตุให้เร็วที่สุดก็พอ
แต่ส่วนใหญ่ทีมโรงพยาบาลต่าง ๆ มักยึดติดกับการรักษาที่จำเพาะตามโรงพยาบาลซึ่งต้องใช้อุปกรณ์ที่ทันสมัยมากมาย เช่น ต้องใส่สายระบายเข้าโพรงเยื่อหุ้มปอดและต่อกับขวดน้ำ รวมทั้งต้องให้ดมออกซิเจนซึ่งทำให้การขนย้ายผู้ป่วยออกจากจุดเกิดเหตุทำได้ลำบาก เพราะมีอุปกรณ์ระโยงระยางตามตัวผู้ป่วยเต็มไปหมด
สำหรับด้านการขนย้ายนั้น ทีมโรงพยาบาลมักไม่ใส่ใจมาก เช่น ถ้าขนย้ายก็มักรีบให้เอาผู้ป่วยออกไปโดยเร็วโดยไม่ได้คาดการณ์ว่าอาจเกิดเหตุฉุกเฉินบนรถพยาบาลได้ทุกเมื่อ เช่น สถานการณ์จำลองให้มีผู้ป่วยที่มาด้วยบาดเจ็บช่องท้องและมีภาวะช็อก หลังจากให้น้ำเกลือจนความดันเลือดปกติแล้ว ตอนขนย้ายก็รีบมากโดยให้พยาบาล 1 คนไปกับผู้ป่วยโดยไม่ได้มีวิทยุสื่อสารติดตัวไปกับพยาบาลรายนั้นเลย ทั้งนี้เพราะไม่ได้เตรียมการว่าถ้าเกิดช็อกระหว่างทางจะทำอย่างไร จึงทำให้อาจเกิดอันตรายแก่ผู้ป่วยระหว่างขนย้ายได้
ส่วนด้านการบริหารจัดการนั้นค่อนข้างยาก เพราะหัวหน้าทีมต้องตัดสินใจแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่าที่ตนเองจะคิดออกหรือมีประสบการณ์มาก่อน ดังนั้น ถ้าหัวหน้าทีมมีอายุน้อยก็อาจมีประสบการณ์น้อยจนตัดสินใจแก้ปัญหาได้ไม่ทันการก็ได้
ในการซ้อมนั้นมีการสร้างสถานการณ์จำลองหนึ่งขึ้นเพื่อทดสอบการบริหารจัดการ เหตุการณ์เริ่มด้วย ยามดึกคืนหนึ่งมีชาวบ้าน 3 คนพาผู้บาดเจ็บรายหนึ่งที่หนีรอดจากโรงงานสารเคมีระเบิดออกมารักษาที่เต็นท์รักษาพยาบาล ซึ่งขณะนั้นภายในเต็นท์เต็มไปด้วยทีมโรงพยาบาล 3 ทีมที่กำลังมาร่วมพูดคุยปรึกษาในการฝึกซ้อมอยู่
ทันทีที่ทีมทราบว่าผู้บาดเจ็บรายนี้เกิดจากเหตุโรงงานสารเคมีระเบิด หัวหน้าทีมของโรงพยาบาลซึ่งเป็นเจ้าของเต็นท์แห่งนั้นก็รีบนำเชือกมากั้นเขตเพื่อไม่ให้ผู้บาดเจ็บพาสารเคมีเข้ามาปนเปื้อนในเต็นท์ พร้อมกับสั่งให้ลูกทีมบางคนรีบแต่งชุดป้องกันตนเองออกมาหาผู้ป่วย
ทันใดนั้น ผู้ป่วยรายนี้ก็ล้มลงเพราะหัวใจหยุดเต้น ญาติที่พามาเริ่มแสดงอาการโกรธ ก้าวร้าว เพื่อให้รีบทำการรักษา หัวหน้าทีมตัดสินใจกระโดดข้ามเชือกกั้นเขตออกไปรักษา
ต่อมาชาวบ้านในหมู่บ้านราว 30 คนเริ่มทยอยกันออกมารวมกลุ่มต่อว่าทีมรักษาพยาบาลอยู่ที่หน้าเต็นท์
ทีมโรงพยาบาลทั้ง 3 ทีมเริ่มถอยไปด้านหลังเต็นท์ โดยมีบางคนที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพียง 2-3 คนออกมายืนจับเชือกที่กั้นแบ่งเขตระหว่างทีมรักษาพยาบาลและทีมชาวบ้าน
มีทีมโรงพยาบาลหนึ่งถอยออกไปรวมกลุ่มด้านหลังสุดของเต็นท์ และแยกออกจาก 2 ทีมโรงพยาบาล
ในที่สุดสถานการณ์เริ่มโกลาหลมากขึ้น เมื่อหัวหน้าทีมเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนเริ่มเจรจาด้วยเสียงอันดังด้วยความโกรธมากขึ้น
ในที่สุด ฉัน…ในฐานะผู้ประเมินเห็นว่า สถานการณ์หยุดนิ่งอยู่ที่ความขัดแย้ง และไม่สามารถแก้ไขได้ ดังนั้น ฉันจึงตัดสินใจเข้าไปในเต็นท์และร้องขอให้ทีมเลือกหัวหน้าทีมคนใหม่ขึ้นมา จากนั้นหัวหน้าทีมคนใหม่เสนอตัวขึ้นมาและร้องบอกทุกคนว่า
“ผมขอเป็นหัวหน้าทีมแก้ปัญหาก่อนนะครับ ใครมีอะไรจะช่วยก็แจ้งได้เลย และขอให้มีคนหนึ่งมาประกบผมเพื่อช่วยสื่อสารติดต่อกับศูนย์บัญชาการใหญ่ต่อไป”
หลังจากนั้นหัวหน้าทีมคนที่ 2ก็ใช้โทรโข่งเพื่อร้องขอคุยกับผู้ใหญ่บ้านท่ามกลางเสียงโวยวายของชาวบ้าน
หลังจากพูดคุยกับผู้ใหญ่บ้านสักพัก ผู้ใหญ่บ้าน (จำลอง) ก็เริ่มใช้โทรโข่งเจรจากับลูกบ้าน แต่ก็ไม่มีลูกบ้านคนใดยอมสงบลง
ฉันหันไปดูทีมรักษาพยาบาล ก็พบว่ายังคงทำการรักษากดหน้าอกกู้ชีพผู้ป่วยที่หัวใจหยุดเต้นอยู่ มีแพทย์หญิงรายหนึ่งเสนอตัวกับหัวหน้าทีมคนที่ 2 เพื่อมาทำการรักษาผู้ป่วยรายนี้
ฉันตัดสินใจเดินไปบอกทีมว่าให้นำผู้ป่วยเข้ามาในเต็นท์เพื่อทำการรักษา หลังจากช่วยชีวิตอยู่เป็นเวลานาน ฉันก็แจ้งว่าผู้ป่วยได้เสียชีวิตลงแล้ว
แพทย์หญิงที่ควบคุมการรักษาพยาบาลตัดสินใจให้ต่อท่อหลอดลมเข้ากับเครื่องช่วยหายใจ และแจ้งกับญาติ ๆ ที่วนเวียนเข้ามาถามอาการว่า
“อาการไม่ดีนัก แต่จะรีบพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาต่อไป”
แพทย์รายนั้นกระซิบกับหัวหน้าทีมคนที่ 2 ว่า
“ผู้ป่วยเสียชีวิตแล้ว แต่ยังคงให้รีบขอรถขนย้ายออกไปจากเต็นท์โดยเร็ว เพื่อบรรเทาสถานการณ์ไม่ให้วุ่นวายไปมากกว่านี้”
หัวหน้าทีมคนที่ 2 พยักหน้าและตอบว่า “ผมเห็นมีรถพยาบาลของทีมหนึ่งจอดอยู่ด้านซ้ายใกล้เต็นท์ และอีกทีมหนึ่งจอดอยู่ด้านหน้าเต็นท์ แต่อยู่ไกลและต้องฝ่าฝูงชนออกไป ดังนั้น ให้ใช้รถที่จอดทางด้านซ้ายและขนย้ายผู้ป่วยออกไปได้เลย”
หลังจากนั้นหัวหน้าทีมประเมินก็ประกาศหยุดสถานการณ์จำลองทั้งหมด แล้วเริ่มพูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันกับทีมโรงพยาบาลทั้ง 3 ทีม
หัวหน้าทีมรักษาพยาบาลคนที่ 1 แจ้งว่า “ขณะที่ผมกำลังเจรจากับฝูงชนอยู่นั้นก็พบว่าฝูงชนไม่ฟังคำอธิบายใด ๆ และผู้ป่วยเองก็อาจปนเปื้อนสารเคมี ดังนั้น จึงแจ้งให้เอาเชือกมาคาดกั้นแบ่งเขต และให้ทีมสวมชุดป้องกันตนเอง การไม่ยอมให้ผู้ป่วยเข้ามาในเต็นท์เพราะอาจทำให้ทีมรักษาพยาบาลต้องปนเปื้อนและอาจเป็นอันตรายจากสารเคมีได้”
“แต่เมื่อญาติผู้ป่วยที่ปนเปื้อนเอื้อมมือมาแตะตัวผม ผมก็คิดว่าไหน ๆ ผมก็ปนเปื้อนสารเคมีไปแล้ว จึงตัดสินใจโดดออกไปเจรจากับชาวบ้านเพียงคนเดียว”
หัวหน้าทีมประเมินตอบว่า “แต่นั่นกลับทำให้ทีมโรงพยาบาลทั้งหมดขาดหัวหน้าที่จะสั่งการใด ๆ จึงทำให้ไม่สามารถใช้กำลังทีมโรงพยาบาลที่มีอยู่จำนวนมากเพื่อรวมกำลังประสานการช่วยเหลือกันได้”
หัวหน้าทีมประเมินยิ้ม และกล่าวต่อไปว่า “หมอเคยฟังเรื่องเล่าหนึ่งของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ไหม นักข่าวรายหนึ่งได้ถามบุคคลมีชื่อเสียงรายหนึ่งที่ยอมเป็นหัวคะแนนให้การสนับสนุนนายบารัค โอบามา เป็นประธานาธิบดีว่า…..นายบารัค โอบามา ได้พูดอะไรจึงโน้มน้าวคุณมาเป็นหัวคะแนนให้”
บุคคลมีชื่อเสียงท่านนั้นกล่าวว่า “อย่าถามว่าเขาพูดอะไรเลย แต่ถามว่าเขาพูดอย่างไรจึงจะถูกกว่า”
หัวหน้าทีมประเมินยังคงกล่าวต่อไปว่า “การบริหารจัดการจลาจลแบบนี้ หมออาจไม่สามารถพูดเนื้อหาสาระให้ชาวบ้านเข้าใจได้ทั้งหมด แต่เราแสดงกิริยาที่สื่อบางอย่างได้เพื่อให้ฝูงชนสงบ เช่น ผมเห็นมีพยาบาลวัยกลางคนรายหนึ่งเดินมาไหว้ขอโทษฝูงชนจนทำให้ฝูงชนแถบนั้นเงียบเสียงและถอยออกไปพักหนึ่ง”
“ฉันเองค่ะ” พยาบาลวัยกลางคนท่าทางยิ้มแย้มใจดีก้าวออกมาจากกลุ่ม “ฉันเป็นหัวหน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล เมื่อใดที่มีเรื่องปะทะหรือร้องเรียนกันรุนแรง ฉันพบว่าหลายครั้งเมื่อมีคนแก่ยกมือไหว้เพื่อขอโทษก่อน มักช่วยผ่อนคลายสถานการณ์ไม่ให้ตึงเครียดมากขึ้นได้ดี”
“ทั้งนี้จะเห็นว่าเป็นการนำประสบการณ์มาใช้ในการแก้ปัญหา และนี่แสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้พูดถึงเนื้อหาการรักษา แต่เราแสดงว่าเราต้องการเป็นมิตร” หัวหน้าทีมประเมินกล่าวเสริมขึ้น และพูดต่อว่า “นอกจากนี้ผมพบว่า มีอยู่ทีมหนึ่งแยกตัวออกจากทีมอื่น ๆ ไปอยู่ด้านหลังสุดเพื่อเฝ้าดูสถานการณ์”
ทีมโรงพยาบาลที่แยกตัวออกไปแจ้งว่า “เนื่องจากเห็นว่าเป็นสถานการณ์ปนเปื้อนสารเคมี จึงสั่งให้ทีมหลบออกจากการปนเปื้อนเพื่อไม่ให้เป็นอันตราย เผื่อว่าในที่สุดจะเหลือทีมที่ปลอดภัยอยู่เพื่อทำการรักษาผู้ป่วยและบุคลากรทั้งหมดได้ต่อไป”
หัวหน้าทีมรักษาคนที่ 2 แจ้งว่า “ผมเสนอตัวขึ้นมาเป็นหัวหน้าทีมคนใหม่เพราะผมเป็นเจ้าของเต็นท์นี้ ซึ่งจะรู้จักทรัพยากรในเต็นท์มากพอ จากนั้นก็ร้องขอให้ทีมที่เหลือเข้าช่วยในการรักษาผู้ป่วยรายที่หัวใจหยุดเต้น และส่งหน่วยรักษาความปลอดภัยของทั้ง 3 ทีมมารวมกัน เพื่อควบคุมเชือกกั้นแบ่งเขต และรักษาความปลอดภัยของทีมทั้งหมด”
หัวหน้าทีมรักษาคนที่ 2 หยุดคิดสักพักก่อนที่จะกล่าวต่อว่า “ผมเห็นทีมที่แยกตัวออกไปแล้วครับ จึงเดินไปคุยกับทีมนั้นเพื่อร้องขอความช่วยเหลือเท่าที่ทีมจะมีศักยภาพมาช่วยกัน ซึ่งทีมก็ส่งหน่วยรักษาความปลอดภัยมาให้”
แพทย์หญิงที่ทำการรักษาผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นแจ้งว่า “ฉันเห็นว่ายังไม่มีแพทย์มาช่วยดูการรักษาพยาบาล ฉันจึงเสนอตัวมาช่วยแต่ก็พบว่าผู้ป่วยเสียชีวิตแล้ว จึงตัดสินใจให้หัวหน้าทีมนำผู้ป่วยออกไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดพร้อมกับแจ้งญาติแค่ว่าอาการยังไม่ปลอดภัยแค่นั้น เพื่อไม่ให้สถานการณ์เกิดความรุนแรงมากขึ้น”
หัวหน้าทีมรักษาคนที่ 2 แจ้งว่า “ก่อนหน้านี้ตอนที่ 3 ทีมมารวมกันในเต็นท์นั้น ผมจำได้ว่ารถพยาบาลของ 2 ทีมจอดด้านหน้าและด้านซ้ายของเต็นท์ ซึ่งจำได้ว่ารถที่จอดด้านซ้ายนั้นอยู่ใกล้ที่สุดจึงเอารถคันนี้ออก”
หัวหน้าทีมประเมินตอบว่า “นั่นเป็นข้อดีของหัวหน้าทีม เพราะหูตาไวและเก็บรายละเอียดทุกอย่างด้วยความระแวดระวัง ทำให้สามารถผันทรัพยากรมาใช้ได้ทันสถานการณ์ ตลอดจนมีข้อดีตรงที่เดินไปประสานงานกับทุกทีมด้วยตนเอง ทีมกู้ชีพผู้ป่วยก็เก่งที่ตัดสินใจได้ดีและแจ้งให้หัวหน้าทีมรีบดำเนินการ โดยไม่เสียเวลาให้หัวหน้าทีมต้องมานั่งคิดเองอีกรอบ นับเป็นลูกทีมที่มีประสิทธิภาพที่ช่วยเติมต่อให้สถานการณ์ผ่านไปได้อย่างราบรื่น ลูกทีมต้องมีประสิทธิภาพด้วย เพื่อไม่เป็นภาระกับหัวหน้าทีมมากนัก ส่วนหัวหน้าทีมแค่ฟังเหตุและผล ซึ่งถ้าเหมาะสมก็สั่งให้ดำเนินการได้ทันที”
“แต่หัวหน้าทีมควรให้คนประสานงานเป็นคนรับเรื่องจากทีมทั้งหมด เพราะการที่หัวหน้ารับเรื่องต่าง ๆ เองจึงขาดสมาธิเป็นช่วง ๆ ในการบริหารจัดการภาพรวม” หัวหน้าทีมประเมินกล่าวสรุปตอนท้ายว่า “การมาตั้งเต็นท์อยู่ใกล้หมู่บ้านที่ประสบภัย เราควรมองรอบพื้นที่ตั้งเต็นท์ว่าปลอดภัยหรือไม่ มีโอกาสที่จะเกิดภัยพิบัติซ้ำในสถานที่ตั้งเต็นท์หรือไม่ และทางออกจากป่านี้มีกี่ทางเพื่อเตรียมหนียามฉุกเฉินด้วย”
“ตลอดจนควรผูกมิตรกับชาวบ้านในละแวกเต็นท์เพื่อให้มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งพบว่าหลายครั้งชาวบ้านเหล่านี้ก็แจ้งข่าวจนทำให้ทีมหนีรอดปลอดภัยได้”
ฉัน…ในฐานะทีมผู้ประเมิน…จำได้ว่า เชือกเส้นบาง ๆ ที่กั้นระหว่างทีมรักษาพยาบาลกับฝูงชนนั้นมีความสำคัญมาก เพราะเมื่อไรที่เชือกขาดก็มักพบมีใครสักคนมาทำการผูกเชือกโดยทันที แม้จะเป็นแค่เชือกเส้นบาง ๆ แต่ก็สร้างความอุ่นใจให้แก่ทีมรักษาพยาบาลมิใช่น้อยว่าตนเองยังอยู่ในเขตปลอดภัย
ในสถานการณ์ที่อลหม่านมักยั่วยุให้เราหลงลืมหน้าที่ แม้แต่ตัวฉันเองซึ่งไปในฐานะผู้ประเมินก็กลับหลุดเข้าไปช่วยเหลือทีมกู้ชีพบ้าง หรือเข้าไปช่วยเหลือหัวหน้าทีมคนใหม่บ้างเป็นระยะ ๆ จนลืมมองการประเมินภาพรวมไปโดยปริยาย