ภญ.พลโทหญิง สุภัททา เต็มบุญเกียรติ

ภญ.พลโทหญิง สุภัททา เต็มบุญเกียรติ 
การให้คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าเราเป็นเขา เราก็จะเห็นใจเขา

            แม้ว่า “ยา” จะถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่มีความสำคัญกับผู้ป่วยเป็นอย่างมาก แต่ในทางกลับกันยาก็อาจจะกลายเป็นมหันตภัยร้ายที่คร่าชีวิต หรือทำลายสุขภาพให้ย่ำแย่ลง ด้วยเหตุนี้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการรับประทานยาที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญและมีความจำเป็น ทั้งนี้การที่ผู้ป่วย หรือญาติ รวมถึงทุกคนที่เกี่ยวข้องควรจะมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ยาที่ถูกต้องได้ นอกจากจะต้องอาศัยบุคลากรผู้มีประสบการณ์ความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับเรื่องยาแล้ว ทักษะในการสื่อสารตลอดจนความเข้าใจในตัวผู้ป่วยล้วนเป็นสิ่งสำคัญในการแนะนำให้ผู้ป่วยและญาติเพื่อให้ใช้ยาได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และเกิดประโยชน์สูงสุด เหมือนดังเช่นที่ ภญ.พลโทหญิง สุภัททา เต็มบุญเกียรติ หรือพี่ต้อ เภสัชกรดีเด่นประจำปี พ.ศ. 2558 สาขาเภสัชกรสี่เหล่า จากเภสัชกรรมสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ทำมาตลอดระยะเวลาของการเป็นอาจารย์ และเภสัชกรประจำโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า

            ภญ.พลโทหญิง สุภัททา เต็มบุญเกียรติ สำเร็จการศึกษาเภสัชศาสตรบัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี พ.ศ. 2521 จากนั้นจึงมาทำงานที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เริ่มจากทำงานแผนกบริการผู้ป่วยใน และแผนกอื่น ๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกองเภสัชกรรม ทำงานอยู่ประมาณ 4 ปี จึงทำเรื่องขอไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทด้านเภสัชวิทยาที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และกลับมาทำงานที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าในตำแหน่งหัวหน้าแผนก ต่อมาได้ปรับย้ายไปทำงานด้านจัดหายาและเวชภัณฑ์ที่แผนกส่งกำลังสายแพทย์ จนกระทั่งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองเภสัชกรรมเมื่อปี พ.ศ. 2544 และในปี พ.ศ. 2547 ได้ปรับเป็นนายทหารปฏิบัติการพิเศษประจำกรมแพทย์ทหารบก จึงขอย้ายมาทำงานที่ภาควิชาเภสัชวิทยา วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า สอนวิชาเภสัชวิทยาแก่นักเรียนแพทย์ทหาร โดยกลับมาช่วยงานที่ห้องยาและงานจัดหาในบางครั้ง ซึ่งตำแหน่งสุดท้ายก่อนเกษียณอายุราชการคือ ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก อัตราพลตรี ปัจจุบันถึงแม้ว่าพี่ต้อจะเกษียณอายุราชการแล้ว แต่พี่ต้อก็ยังมาเป็นอาจารย์พิเศษให้แก่นักเรียนแพทย์ทหารที่วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า และช่วยงานน้อง ๆ เภสัชกรที่ห้องยาอยู่เสมอ นอกจากนี้ทุกวันจันทร์จะไปช่วยงานที่คลินิกศูนย์แพทย์พัฒนา จากการชักชวนของอดีตผู้อำนวยการกองเภสัชกรรม คือ ภก.พลตรี ทรงเกียรติ ส่งเจริญ อดีตหัวหน้าฝ่ายเภสัชกรรม คลินิกศูนย์แพทย์พัฒนา           

            สำหรับสาเหตุที่พี่ต้อสนใจศึกษาต่อทางด้านเภสัชวิทยา พี่ต้อให้เหตุผลว่า เนื่องจากเราเป็นเภสัชกรจึงต้องรู้เกี่ยวกับเภสัชวิทยาของยาทั้งหลาย ทำให้สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะในการเรียนรู้เรื่องยา เราต้องรู้ถึงกลไกการออกฤทธิ์และอาการไม่พึงประสงค์ที่สำคัญของยาแต่ละกลุ่ม โดยเฉพาะยาใหม่ที่เข้ามาในช่วงแรก ๆ ข้อมูลเกี่ยวกับอาการไม่พึงประสงค์จะมีน้อยมาก ทั้งนี้เพราะอาการไม่พึงประสงค์จะพบมากขึ้นเมื่อมีผู้ป่วยจำนวนมาก ใช้ยาไปได้สักระยะหนึ่ง ดังนั้น ความรู้ทางด้านเภสัชวิทยาจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพโดยตรง

            นอกจากนี้พี่ต้อยังเล่าถึงประสบการณ์ในการทำงานให้ฟังว่า พี่ต้อเป็นคนที่รักงาน และชอบช่วยเหลือน้อง ๆ รวมถึงผู้ป่วย แม้กระทั่งสมัยที่ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองเภสัชกรรม ช่วงเวลาที่มีผู้ป่วยมากที่สุดคือ 11.30 น. ดังนั้น ในช่วงเวลานี้พี่ต้อและผู้ช่วยอีก 2 ท่าน คือ พี่ก้อย และพี่ติ่ง จะมาที่ห้องยาใหญ่เพื่อช่วยน้อง ๆ เช็กและจ่ายยา ซึ่งกว่าจะได้รับประทานอาหารกลางวันก็ประมาณบ่ายสองโมงทุกวัน สิ่งนี้ทำให้เราได้ใจของน้อง ๆ เพราะน้อง ๆ ได้รู้ว่าขนาดเราเป็นหัวหน้ายังลงมาช่วย ไม่เคยทิ้งน้อง พี่ต้อยินดีช่วยน้องทุกคนเสมอ โดยเฉพาะเวลาที่น้อง ๆ พบปัญหา ยกตัวอย่างเช่น มีปัญหาในการสื่อสารกับผู้ป่วย บางครั้งผู้ป่วยอารมณ์เสีย น้อง ๆ รู้สึกรับไม่ไหว พี่ต้อก็จะเข้าไปช่วยแก้ปัญหาพูดคุยอธิบายกับผู้ป่วยให้เข้าใจแทนน้อง ๆ เนื่องจากเราทราบถึงความรู้สึกของผู้ป่วยที่ต้องรอเป็นระยะเวลานานในการที่จะได้พบแพทย์และรอรับยา นอกจากนี้เคยมีกรณีที่น้องจ่ายยาผิดให้แก่ผู้ป่วย พี่ต้อและพี่ก้อยต้องขับรถไปถึงบ้านของผู้ป่วยเพื่อเยี่ยมไข้ พร้อมกับขอโทษและนำยาไปเปลี่ยนให้ ซึ่งในส่วนของน้องที่ทำผิดพลาด พี่ต้อถือคติว่า ต้องให้อภัยคนเวลาที่ทำอะไรผิดพลาด พร้อมทั้งให้คำแนะนำแก่น้องที่จ่ายยาผิดว่าไม่เป็นไร คนเราผิดพลาดกันได้ แต่คราวหน้าจะต้องระวังให้มากกว่านี้

            ในการทำงานพี่ต้อไม่เคยดุว่าใคร เวลาที่น้อง ๆ ทำไม่ถูกต้องจะเรียกมาพูดคุยให้คำแนะนำ โดยยึดหลักการจัดสรรแบ่งงานตามความเหมาะสมว่างานชิ้นใดควรทำก่อนหรือหลัง ซึ่งในการจัดสรรงาน เราจะมีหัวหน้าในแต่ละแผนก จะมอบหมายให้หัวหน้าแผนกดูแลเพื่อกระจายให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการบริหาร โดยเราจะมีประชุมกองกันเดือนละครั้งทุกเดือน เพื่อมอบหมายนโยบาย พูดคุยแลกเปลี่ยน สอบถามปัญหาซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ในเรื่องของการดูแลลูกน้องเราต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง โดยเฉพาะในเวลาที่เขามีปัญหาย่อมส่งผลกระทบต่อเรื่องงาน ดังนั้น เวลาที่ลูกน้องมีปัญหาอะไร ถ้าพี่ต้อสามารถช่วยได้ พี่ต้อยินดีที่จะให้คำปรึกษาและช่วยเหลือเสมอ โดยยึดหลักว่า “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” ถ้าเกิดเขาต้องการอะไร และเราเป็นเขา เราก็จะเห็นใจเขา อะไรที่เราพอช่วยเหลือได้ก็จะช่วยไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม

            อย่างไรก็ตาม ในการทำงานย่อมพบกับปัญหาและอุปสรรคในบางครั้ง ตัวพี่ต้อก็เช่นกัน เวลาที่พบกับปัญหา ตัวพี่ต้อจะใช้หลักอานาปานัสสติเพราะเป็นสิ่งที่ทำแล้วจะมีสติ สบายใจ ทั้งนี้พี่ต้อให้เหตุผลว่า การทำอานาปานัสสติจะทำให้ใจสงบ สติมา ปัญญาเกิด คิดว่าสิ่งอะไรที่ดีที่สุดที่เราควรทำก็ทำสิ่งนั้น และถ้าจะถามว่าพี่ต้อเคยท้อกับปัญหาหรือไม่ คำตอบคือ ไม่เคยท้อเลย ทุกปัญหาเราแก้ได้ ที่สำคัญพี่ต้อมีทีมงานที่ดี น้อง ๆ ทุกคนน่ารักมาก ทุกคนยินดีที่จะช่วยเหลือกัน แม้ว่าเราจะเกษียณแล้วแต่พี่ต้อก็บอกกับน้อง ๆ ทุกคนว่าไม่ต้องเป็นห่วง พี่จะกลับมาช่วย ถ้ามีปัญหาอะไรสามารถสอบถามได้เสมอ นอกจากนี้พี่ต้อยังชอบออกกำลังกาย เล่นเทนนิส โดยเล่นมาตลอดตั้งแต่สมัยเรียน เพราะจะช่วยทำให้คลายเครียดจากงานได้ทุกสัปดาห์ รวมถึงการเล่นโยคะซึ่งช่วยส่งผลดีทั้งทางร่างกายและจิตใจ

            “พี่ต้อมีความสุขจากการทำงานทุกอย่าง โดยสิ่งที่ทำให้พี่ต้อมีความสุขมากที่สุดคือ เวลาที่มีญาติผู้ป่วยโทรศัพท์กลับมาถามหรือปรึกษาเราตามที่เราให้เบอร์โทรศัพท์ไว้ เนื่องจากเรารู้สึกว่าได้ทำประโยชน์ให้แก่ผู้ป่วยโดยที่เขาไม่ต้องเสียเวลามาที่โรงพยาบาล เพราะเรื่องยาเป็นสิ่งสำคัญที่เราอยากให้ผู้ป่วยรู้และเข้าใจ ใช้ยาอย่างถูกต้อง งานทุกงานจึงเป็นสิ่งที่พี่ต้อรัก รวมถึงงานทางด้านการสอน เพราะเวลาที่สอนเป็นการให้ความรู้ ซึ่งพี่ต้อคิดว่าการให้เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก ไม่ว่าจะเป็นการให้ในรูปแบบใดก็ตาม ทั้งนี้พี่ต้อยังเป็นอนุกรรมการพิจารณาโครงการวิจัยของกรมแพทย์ทหารบก ซึ่งทำหน้าที่พิจารณาจริยธรรมการวิจัยโดยจะมีการประชุมทุกเดือน เป็นงานที่พี่ชอบมากเช่นกัน เพราะทำให้เราได้มีความรู้ใหม่ ๆ ได้ใช้สมอง และมีปฏิสัมพันธ์กับอนุกรรมการรุ่นน้อง ๆ ในวิชาชีพสายแพทย์ของกรมแพทย์ทหารบก”

            พี่ต้อยังกล่าวถึงความภาคภูมิใจในวิชาชีพเภสัชกรรมว่า เป็นสิ่งที่เภสัชกรทุกคนต้องมีอยู่แล้ว เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่เลือกเรียนวิชาชีพนี้ อีกทั้งวิชาชีพนี้เป็นวิชาชีพที่ทุกคนรวมถึงแพทย์ก็ให้เกียรติ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับการวางตัวของเราด้วย การที่วิชาชีพของเราสามารถช่วยเหลือคนอื่น ๆ ได้ ถือเป็นความภาคภูมิใจที่เราสามารถช่วยทุกคน ทุกวิชาชีพในโรงพยาบาลถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องยาเราช่วยได้หมด เป็นสิ่งที่เราภาคภูมิใจมากที่ได้ทำวิชาชีพเภสัชกรรม โดยเฉพาะเภสัชกรที่เข้ามาทำงานเป็นทหารอยู่ภายใต้กรอบวินัย กฎระเบียบ และข้อบังคับ โดยพี่ต้อจะสอนน้องที่เป็นเภสัชกรของทหารว่า เราไม่ได้เป็นเภสัชกรอย่างเดียว แต่เราเป็นทหารด้วย ดังนั้น เมื่อเราเป็นทหารต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบและข้อบังคับ และเมื่อหัวหน้ามอบหมายหรือสั่งอะไรมา เราก็ต้องทำ ซึ่งน้อง ๆ ที่ทำงานกับพี่ต้อจะมีจิตใจของการเป็นทหารทุกคน

            สำหรับมุมมองต่อบทบาทวิชาชีพเภสัชกรรมในยุคปัจจุบัน พี่ต้อกล่าวว่า ในส่วนของเภสัชกรโรงพยาบาลมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก สมัยนี้เภสัชกรมีบทบาทหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบเพิ่มขึ้น รวมทั้งต้องทำงานทางด้านคุณภาพนอกเหนือจากงานให้บริการที่มากขึ้น ในฐานะพี่ เราเห็นใจน้อง ๆ ทุกคน ทั้งนี้น้อง ๆ ต้องรู้จักแบ่งเวลาในการทำงานเพื่อเรียนรู้งานทุกงานที่เภสัชกรโรงพยาบาลจะต้องทราบ นอกจากนี้งานทางด้านวิชาการก็เป็นสิ่งที่เราทิ้งไม่ได้เช่นกัน เมื่อมีแพทย์หรือผู้ป่วยโทรศัพท์มาสอบถาม เราในฐานะเภสัชกรต้องตอบให้ได้ หรือถ้าเป็นความรู้ที่ใหม่มาก เราก็จะต้องค้นคว้าหาคำตอบให้แก่พวกเขา ซึ่งเราต้องรู้จักทักษะวิธีการพูด เนื่องจากปัจจุบันการสื่อสารถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

            สุดท้ายนี้พี่ต้อได้ให้คำแนะนำถึงน้อง ๆ เภสัชกรรุ่นใหม่ ๆ ว่า อันดับแรกคือ เราต้องมีความรู้ในวิชาชีพที่เราทำ ไม่ว่าจะเป็นสายวิชาชีพใด ทั้งเภสัชกรโรงงาน เภสัชกรที่เป็นผู้แทนยา หรือตามร้านขายยา เราต้องมีความรู้อย่างดีในวิชาชีพที่เราทำ เพราะว่าเราจะได้ใช้ความรู้นั้นอย่างถูกต้องและเป็นประโยชน์ อันดับที่สองต้องมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม ถ้าเรารู้จักยิ้มแย้มแจ่มใสไว้ก่อน เราก็จะได้เปรียบไปกว่าครึ่ง การที่เรามีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนถือเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งนี้การที่เราได้ช่วยเหลือคนอื่น และคนอื่นได้รู้จักเราจะทำให้เราภาคภูมิใจในตัวเอง และภูมิใจในวิชาชีพ รวมถึงพี่ต้อยังอยากให้น้อง ๆ ทุกคนเรียนรู้ที่จะปฏิบัติธรรม เนื่องจากสิ่งที่ได้จากการปฏิบัติธรรมโดยการทำอานาปานัสสติเสมอ ๆ จะทำให้เราเป็นคนที่ใจเย็น มีสติ ทำให้เราคิดได้ว่าเราควรจะทำอะไรเป็นสิ่งที่ดีที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราสบายใจ และจะกลับมาทำให้เรามีความสุข