น้ำตาตกเมื่อใช้น้ำตาเทียมผิด
เชื่อหรือไม่ น้ำตาเทียมที่ดูเหมือนจะปลอดภัยแต่กลับแฝงไว้ด้วยอันตรายถ้าใช้ไม่ถูกต้อง โดยปกติแล้วน้ำตาเทียมเป็นเภสัชภัณฑ์ที่ใช้สำหรับบรรเทาอาการตาแห้ง มีสมบัติใกล้เคียงกับน้ำตาธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์น้ำตาเทียมที่มีขายในประเทศไทยในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ สารละลาย(มีทั้งแบบ multiple dose ที่ใส่สารกันเสีย และ unit dose ที่ไม่ใส่สารกันเสีย) เจล และขี้ผึ้ง ซึ่งแต่ละรูปแบบต่างก็มีจุดเด่นและจุดด้อยแตกต่างกันไป(1) โดยทั่วไปน้ำตาเทียมจะจัดอยู่ในหมวดยาแผนปัจจุบันชนิดยาใช้ภายนอก ไม่ได้อยู่ในกลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ ยาเสพติดหรือยาควบคุมพิเศษ แต่สำหรับบางชื่อการค้าจะจดทะเบียนเป็นยาใช้ภายนอกชนิดยาอันตราย(2)
ส่วนประกอบหลักของน้ำตาเทียมในรูปแบบสารละลายและเจล ได้แก่ สารช่วยหล่อลื่นและให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตา เช่น methylcellulose, carboxymethylcellulose, hydroxyethylcellulose, hydroxypropyl methylcellulose, dextran, polyvinyl alcohol, sodium hyaluronate, polyethylene glycol, carbomer เป็นต้น นอกจากนี้ยังประกอบด้วยบัฟเฟอร์เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงและควบคุมความเป็นกรด-ด่างของน้ำตาเทียมให้เข้ากับความเป็นกรด-ด่างของน้ำตา เช่น boric acid และ sodium borate สารปรับสภาพตึงตัวเพื่อปรับ osmolarity ของน้ำตาเทียมให้เข้ากับน้ำตา ที่นิยมใช้คือ sodium chloride สารอิเล็กโทรไลต์อื่น ๆ เพื่อทำให้น้ำตาเทียมมีสมบัติใกล้เคียงกับน้ำตา เช่น calcium chloride, magnesium chloride, potassium chloride, sodium lactate เป็นต้น และสารกันเสีย เช่น benzalkonium chloride ส่วนน้ำตาเทียมรูปแบบขี้ผึ้งประกอบด้วยสารช่วยหล่อลื่นและให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตา เช่น lanolin, white petrolatum, mineral oil เป็นต้น และอาจใส่หรือไม่ใส่สารกันเสียในผลิตภัณฑ์(1,2)
รูปแบบของน้ำตาเทียม(2)
1. น้ำตาเทียมรูปแบบสารละลายชนิดขวด ขนาดบรรจุ 5, 15 และ 30 มิลลิลิตร
2. น้ำตาเทียมรูปแบบสารละลายชนิดแท่งใช้วันเดียว หรือน้ำตาเทียมรายวัน (monodose eye drops) ขนาดบรรจุหลอดละ 0.3, 0.4 และ 0.8 มิลลิลิตร บรรจุตั้งแต่ 20-60 หลอดต่อ 1 กล่อง
3. น้ำตาเทียมรูปแบบเจลและแบบขี้ผึ้งป้ายตา ขนาดบรรจุ 3.5 กรัม
อันตรายที่แฝงอยู่ในน้ำตาเทียม(1,3)
สารกันเสียที่อยู่ในน้ำตาเทียมหรือยาหยอดตาชนิดอื่นสามารถทำให้เซลล์เยื่อบุกระจกตาถูกทำลาย โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ควรหลีกเลี่ยงน้ำตาเทียมที่มีสารกันเสียที่ทำให้เกิดการทำลายเซลล์เยื่อบุกระจกตาได้ เช่น benzalkonium chloride เนื่องจากคอนแทคเลนส์ดูดซับสารนี้ได้และทำให้เยื่อบุกระจกตาสัมผัสกับสารนี้เป็นเวลานาน จึงอาจทำลายเซลล์เยื่อบุกระจกตาได้ ดังนั้น จึงควรเลือกใช้น้ำตาเทียมที่ปราศจากสารกันเสียซึ่งเป็นชนิดที่บรรจุในภาชนะบรรจุแบบ unit dose หรือเลือกใช้น้ำตาเทียมที่มีสารกันเสียชนิดที่เป็นพิษต่อเยื่อบุกระจกตาน้อย เช่น stabilized oxychloro complex, polyquaterium-1 สารประกอบระหว่าง boric acid, zinc, sorbital และ propylene glycol แต่หากจำเป็นต้องใช้น้ำตาเทียมที่มี benzalkonium chloride ควรถอดคอนแทคเลนส์ออกก่อนหยอดน้ำตาเทียม และใส่คอนแทคเลนส์หลังจากหยอดตาเสร็จแล้วประมาณ 10 นาที
ผลข้างเคียงของน้ำตาเทียม(4)
หากมีอาการแสบหรือระคายเคืองตาอย่างรุนแรงหลังจากที่ใช้น้ำตาเทียม มีความผิดปกติในการมองเห็น หรือมีอาการปวดตา ให้หยุดใช้น้ำตาเทียมในทันทีและควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว
โดยทั่วไปแล้ว ผลข้างเคียงจากการใช้น้ำตาเทียมที่พบบ่อย ได้แก่ มีอาการแสบหรือระคายเคืองตา ตาแฉะหรือน้ำตาไหล ตาแดงและมีอาการคัน มองเห็นได้ไม่ชัด และรู้สึกขมในคอ
นอกจากนั้นหากมีสัญญาณของอาการแพ้ ได้แก่ หายใจลำบาก ลมพิษ และมีอาการบวมที่ใบหน้า ลิ้น ริมฝีปาก หรือคอ ควรรีบติดต่อขอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน หรือรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว
ผลข้างเคียงที่รุนแรงอาจเกิดขึ้นได้หากใช้น้ำตาเทียมในปริมาณที่มากเกินกว่าที่แนะนำไว้ ดังนั้น ผู้ใช้ควรมีความรอบคอบและมีความระมัดระวังในการใช้ ที่สำคัญควรปฏิบัติตามที่แพทย์ได้แนะนำ หรือควรอ่านฉลากให้ละเอียดก่อนการใช้
เอกสารอ้างอิง