Basal Insulin Glargine และ Omega-3 Fatty Acid ต่อความเสื่อมของสมองในผู้ป่วยน้ำตาลในเลือดผิดปกติ

Basal Insulin Glargine และ Omega-3 Fatty Acid ต่อความเสื่อมของสมองในผู้ป่วยน้ำตาลในเลือดผิดปกติ

The Lancet Diabetes & Endocrinology, Early Online Publication, 2 June 2014.

บทความเรื่อง Effects of Basal Insulin Glargine and Omega-3 Fatty Acid on Cognitive Decline and Probable Cognitive Impairment in People with Dysglycaemia: A Substudy of the ORIGIN Trial รายงานว่า ภาวะน้ำตาลในเลือดผิดปกติจากเบาหวานและน้ำตาลในเลือดผิดปกติที่ไม่ได้มีสาเหตุจากเบาหวานเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเสื่อมลงด้านการรับรู้ทางสติปัญญาที่เร็วขึ้น ซึ่งจากการศึกษาย่อยในงานวิจัย Outcome Reduction with Initial Glargine Intervention (ORIGIN) นี้นักวิจัยได้ประเมินผลของการปรับระดับน้ำตาลให้เป็นปกติด้วย insulin glargine หรือให้กรดไขมัน omega-3 ต่อการชะลอความเสื่อมหรือป้องกันการเกิดความบกพร่องด้านการรับรู้

งานวิจัย ORIGIN ศึกษาในผู้ป่วยจากโรงพยาบาล573 แห่งใน 40 ประเทศ โดยเป็นผู้ที่อายุมากกว่า 50 ปี ซึ่งมีภาวะระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ ไม่ได้รับยาควบคุมน้ำตาลหรือได้รับยาหนึ่งตัว มีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อ cardiovascular events มีระดับ HbA1c ต่ำกว่า 9% และไม่ได้รับอินซูลิน นักวิจัยสุ่มให้ผู้ป่วยได้รับ titrated basal insulin glargine โดยมีเป้าระดับน้ำตาลขณะอดอาหารเท่ากับ 5.3 mmol/L หรือต่ำกว่า หรือการดูแลมาตรฐาน และกรดไขมัน omega-3 (1 ก.) หรือยาหลอก การรับรู้ทางสติปัญญาประเมินด้วย Mini-Mental State Examination (MMSE) และ Digit Symbol Substitution (DSS) นักวิจัยยังได้ประเมินผลของ insulin glargine หรือกรดไขมัน omega-3 ต่อการรับรู้ทางสติปัญญาตามระยะเวลา ความเปลี่ยนแปลงของคะแนนจากการทดสอบ และความน่าจะเป็นของการเสื่อมลงของการรับรู้ทางสติปัญญา ซึ่งการวิเคราะห์ทั้งหมดทำในผู้ป่วยที่ทดสอบการรับรู้ที่พื้นฐานและระหว่างการติดตามอย่างน้อยหนึ่งครั้ง

การสุ่มมีขึ้นระหว่างวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 2003 ถึงวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 2005 ผล MMSE และ DSS ประเมินในผู้ป่วย 11,685 และ 3,392 คน (มัธยฐานอายุ 63.4 ปี [SD 7.7]) ซึ่งมีมัธยฐานการติดตาม 6.2 ปี (IQR 5.8-6.7) จากการศึกษาไม่พบความแตกต่างของอัตราการเปลี่ยนแปลงของคะแนนการรับรู้ทางสติปัญญาระหว่างกลุ่มที่ได้รับ insulin glargine และกลุ่มดูแลมาตรฐาน (สำหรับ MMSE 0.0046, 95% CI -0.0132 ถึง 0.0224, p = 0.39 และสำหรับ DSS -0.0362, -0.2180 ถึง 0.1455, p = 0.34) หรือระหว่างกลุ่มที่ได้รับกรดไขมัน omega-3 และยาหลอก (สำหรับ MMSE 0.0013, 95% CI -0.0165 ถึง 0.0191, p = 0.21 และสำหรับ DSS -0.0605, -0.2422 ถึง 0.1212, p = 0.72) นอกจากนี้อุบัติการณ์ของความน่าจะเป็นของการเสื่อมลงของการรับรู้ทางสติปัญญาไม่แตกต่างกันระหว่างกลุ่มที่ได้รับ insulin glargine และกลุ่มดูแลมาตรฐาน (p = 0.065) หรือกลุ่มที่ได้รับกรดไขมัน omega-3 และกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (p = 0.070) ข้อมูลจากการวิเคราะห์กลุ่มย่อยพบว่า การได้รับ insulin glargine เทียบกับการดูแลมาตรฐานอาจลดความเสื่อมของ MMSE (แต่ไม่รวมถึง DSS) ในผู้ป่วยน้ำตาลในเลือดผิดปกติที่ไม่เป็นเบาหวานevidence of diabetes (p = 0.024)

ข้อมูลจากการศึกษาในผู้ป่วยน้ำตาลในเลือดผิดปกติซึ่งมีอายุน้อยชี้ว่า การปรับน้ำตาลในเลือดด้วยอินซูลินและกรดไขมัน omega-3 เป็นเวลา 6 ปี มี neutral effect ต่ออัตราการเสื่อมลงของการรับรู้ทางสติปัญญาและการเกิดภาวะบกพร่องของการรับรู้ทางสติปัญญา โดยเสนอแนะให้มีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อประเมินผลของการแทรกแซงดังกล่าวในผู้ป่วยอายุมาก หรือผลของการแทรกแซงระดับน้ำตาลอื่นต่อการเสื่อมลงของการรับรู้ทางสติปัญญา