สธ.ปรับมาตรการป้องกันรักษาโรคเอดส์ ให้ยาต้านไวรัสผู้ติดเชื้อฟรี หลังรู้ตัวว่าติดเชื้อทันที

วงการแพทย์ ฉบับ 424 /ผึ้ง

คอลัมน์ปกิณกะข่าว /1 หน้า

ชื่อ aids-424

สธ. ปรับมาตรการป้องกันรักษาโรคเอดส์ ให้ยาต้านไวรัสผู้ติดเชื้อฟรี หลังรู้ตัวว่าติดเชื้อทันที

สธ. ปรับมาตรการป้องกันรักษาโรคเอดส์ตั้งแต่ 1 ตุลาคม พ.. 2557 ให้ยาต้านไวรัสผู้ติดเชื้อฟรี ทั้งคนไทยและต่างด้าวหลังรู้ตัวว่าติดเชื้อทันที คาดลดการเสียชีวิตได้ปีละ 700 คน ลดผู้ติดเชื้อรายใหม่เหลือปีละไม่ถึง 1,000 คน

นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้ปัญหาการติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ในประเทศไทยจัดเป็นโรคติดเชื้อที่มีอาการเรื้อรัง แม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่จะมีแนวโน้มลดลง โดยล่าสุดในปี พ.ศ. 2556 มีประมาณ 8,000 คน แต่ยอดสะสมผู้ติดเชื้อตั้งแต่ พ.ศ. 2527 ที่ยังมีชีวิตอยู่จนถึงขณะนี้มีประมาณ 460,000 คน และได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส 246,049 คน คิดเป็นร้อยละ 80 ของผู้ติดเชื้อที่เซลล์เม็ดเลือดขาวซีดี 4 (CD4) น้อยกว่า 350 เซลล์ต่อเลือด 1 ลบ.มม. และร้อยละ 54 ของผู้ติดเชื้อทุกคน และจากผลการเฝ้าระวังการติดเชื้อเอชไอวีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาพบว่า ในกลุ่มชายรักชายมีอัตราการติดเชื้อร้อยละ 8-25 และมีแนวโน้มสูงขึ้นเนื่องจากไม่ใช้ถุงยางอนามัยป้องกัน คาดว่าในช่วงปี พ.ศ. 2555-2559 จะพบผู้ติดเชื้อจากกลุ่มชายรักชายสูงถึง 43,040 คน หรือประมาณร้อยละ 40 ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งหมด

ล่าสุดมีข้อมูลการวิจัยระดับโลกพบว่า หากผู้ติดเชื้อได้รับยาต้านไวรัสเร็วไม่เกิน 1 เดือนหลังวินิจฉัยและรับประทานต่อเนื่องจะมีประสิทธิผลในการลดการติดเชื้อเอชไอวีได้สูงถึงร้อยละ 96 จนไม่สามารถแพร่โรคต่อไปได้ ลดการเสียชีวิตผู้ป่วยได้ปีละไม่ต่ำกว่า 700 คน และหากใช้มาตรการการป้องกันจากการให้ยาต้านไวรัสผสมผสานกับการป้องกันคือโครงการถุงยางอนามัย 100 เปอร์เซ็นต์ มั่นใจว่าจะสามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ได้ปีละไม่ถึง 1,000 ราย ได้ภายในปี พ.ศ. 2573 หรืออีก 16 ปีข้างหน้า

นพ.สมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ในปีงบประมาณ 2558 นี้ ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เป็นต้นไป รัฐบาลมีนโยบายดำเนินการด้านเอดส์ 3 ประการใหญ่ ได้แก่ 1. การให้ยาต้านไวรัสเอชไอวีรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีทุกคนให้เร็วที่สุด และให้ฟรี โดยไม่คำนึงถึงปริมาณเม็ดเลือดขาวซีดี 4 (CD4) ทุกสิทธิประกันสุขภาพทั้งคนไทยและแรงงานข้ามชาติ เพื่อทำให้ผู้ติดเชื้อสุขภาพแข็งแรง ไม่ป่วย ทำงานมีรายได้เหมือนคนปกติ 2. ลดการเลือกปฏิบัติและการละเมิดสิทธิผู้ติดเชื้อ เพื่อคุ้มครองสิทธิแก่ผู้ติดเชื้อให้สามารถทำงานได้ โดยกระทรวงสาธารณสุขจะให้สถานบริการสาธารณสุขทั้งรัฐและเอกชนเป็นตัวอย่างที่ดี ไม่เลือกปฏิบัติและคุ้มครองสิทธิประชาชน และจะมีมาตรการขั้นเด็ดขาดต่อหน่วยบริการสาธารณสุขทั้งรัฐและเอกชนที่ฝ่าฝืน ละเมิดสิทธิผู้ติดเชื้อ และ 3. เปิดโอกาสให้ประชาชนไทยทุกคนทุกสิทธิหลักประกันสุขภาพที่มีพฤติกรรมเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวี เช่น มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดร่วมกับผู้อื่น รับคำปรึกษาและตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวีตามความสมัครใจได้ในโรงพยาบาลของรัฐทุกแห่งทั่วประเทศปีละ 2 ครั้ง โดยจะเร่งรัดให้ทราบผลตรวจเร็วขึ้นจาก3 วัน เหลือ 1 วัน หากพบว่าติดเชื้อจะให้บริการรักษาด้วยการให้ยาต้านไวรัสทันทีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในการลดผู้ติดเชื้อรายใหม่ ในปีงบประมาณ 2558 กรมควบคุมโรคได้จัดเตรียมถุงยางอนามัยแจกฟรี 22 ล้านชิ้น เน้นกลุ่มเสี่ยงหลัก ได้แก่ กลุ่มชายมีเพศสัมพันธ์กับชาย กลุ่มพนักงานบริการทางเพศ กลุ่มผู้ต้องขัง และกลุ่มผู้ใช้สารเสพติดชนิดฉีด ส่วนการรักษาจะให้ยาต้านไวรัสเอชไอวีแก่ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีทุกรายโดยไม่คำนึงถึงระดับภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ยังได้เสนอยาต้านไวรัสตัวใหม่ในสูตรดื้อยา และยาต้านไวรัสชนิดรวมเม็ดเข้าอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อผู้ป่วยรับประทานได้สะดวกขึ้น ป้องกันปัญหาเชื้อดื้อจากการรับประทานยาไม่ต่อเนื่อง ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ ทั้งนี้ยังได้ร่วมกับแพทยสภา และภาคีเครือข่ายปรับแนวทางปฏิบัติสำหรับแพทย์ในการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีให้ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ได้โดยไม่ต้องผ่านการลงนามยินยอมจากผู้ปกครอง เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงยาต้านไวรัสอย่างรวดเร็ว