FOLFOXIRI และ Bevacizumab สำหรับมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักแพร่กระจาย

FOLFOXIRI และ Bevacizumab สำหรับมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักแพร่กระจาย

N Engl J Med 2014;371:1609-1618.

บทความเรื่อง Initial Therapy with FOLFOXIRI and Bevacizumab for Metastatic Colorectal Cancer รายงานว่า การรักษาด้วย fluoropyrimidine ร่วมกับ irinotecan หรือ oxaliplatin โดยให้ควบคู่กับ bevacizumab เป็นการรักษาแรกที่ใช้เป็นมาตรฐานสำหรับโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักระยะแพร่กระจาย ซึ่งก่อนที่จะมี bevacizumab นั้นมีข้อมูลว่าการให้เคมีบำบัดด้วย fluorouracil, leucovorin, oxaliplatin และ irinotecan (FOLFOXIRI) มีประสิทธิภาพดีกว่าการรักษาด้วย fluorouracil, leucovorin และ irinotecan (FOLFIRI) และมีข้อมูลจากการศึกษา phase 2 รายงานว่าการรักษาด้วย FOLFOXIRI ร่วมกับ bevacizumab มีประสิทธิภาพดีและมีอัตราของอาการไม่พึงประสงค์ในระดับที่ยอมรับได้

นักวิจัยสุ่มให้ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก 508 คน ซึ่งไม่ได้รักษาได้รับ FOLFIRI ร่วมกับ bevacizumab (กลุ่มควบคุม) หรือ FOLFOXIRI ร่วมกับ bevacizumab (กลุ่มทดลอง) โดยรักษาไปจนถึง 12 cycles และให้ fluorouracil ร่วมกับ bevacizumab จนกระทั่งพบการลุกลาม และจุดยุติปฐมภูมิ ได้แก่ การรอดชีวิตโดยโรคสงบ

มัธยฐานการรอดชีวิตโดยโรคสงบเท่ากับ 12.1 เดือนในกลุ่มทดลอง เทียบกับ 9.7 เดือนในกลุ่มควบคุม (hazard ratio for progression 0.75; 95% CI 0.62-0.90; p = 0.003) อัตราการตอบสนอง (objective response rate) เท่ากับ 65% ในกลุ่มทดลอง และ 53% ในกลุ่มควบคุม (p = 0.006) การรอดชีวิตโดยรวมยาวนานกว่าแต่ไม่มีนัยสำคัญในกลุ่มทดลอง (31.0 vs. 25.8 months; hazard ratio for death 0.79; 95% CI 0.63-1.00; p = 0.054) นอกจากนี้พบว่าอุบัติการณ์ของ neurotoxicity, stomatitis, diarrhea และ neutropenia ระดับ grade 3 หรือ 4 สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มทดลอง

การรักษาด้วย FOLFOXIRI ร่วมกับ bevacizumab มีผลลัพธ์การรักษาที่ดีขึ้นในผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักระยะแพร่กระจาย ขณะเดียวกันก็ทำให้อุบัติการณ์ของเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์บางอย่างสูงขึ้นเมื่อเทียบกับการรักษาด้วย FOLFIRI ร่วมกับ bevacizumab