การวินิจฉัยอัลไซเมอร์ด้วยเครื่อง PET Scan

การวินิจฉัยอัลไซเมอร์ด้วยเครื่อง PET Scan

อัลไซเมอร์เป็นโรคสมองเสื่อมชนิดหนึ่งที่เกิดจากการเสื่อมของเซลล์สมอง ไม่มียารักษาให้หายขาด แต่หากคนไข้รู้ตัวก่อนก็สามารถชะลออาการเสื่อมที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคต ซึ่งระยะหลังเริ่มพบว่าโรคนี้มักจะเกิดขึ้นในผู้ป่วยที่มีอายุยังไม่มาก เพราะคนส่วนใหญ่มักไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นโรคนี้ และกลัวการมาพบแพทย์เพื่อรักษา ซึ่งปัจจุบันการวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์จะง่ายขึ้นด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่าง PET Scan”

ดร.นพ.โยธิน ชินวลัญช์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านอายุรกรรมสมองและระบบประสาท โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เปิดเผยว่า ในปัจจุบันนี้ทางการแพทย์ได้มีนวัตกรรมใหม่ที่จะช่วยวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์ได้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น ซึ่งก็คือการตรวจด้วยเครื่อง “PET Scan” หรือการสแกนด้วยรังสีเพื่อตรวจหาความผิดปกติทางสมอง เนื่องจากผลจากการตรวจทาง PET Scan จะสามารถยืนยันความผิดปกติได้ถูกต้องมากกว่า 90% จากเดิมที่คนทั่วไปมักคุ้นเคยกับ PET Scan ในการตรวจรักษาโรคมะเร็ง แต่ด้วยการพัฒนาของผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์นิวเคลียร์ ทำให้การวินิจฉัยและรักษาโรคสมองเสื่อมโดยใช้สาร C11-PIB (Pittsburgh Compound B) ซึ่งเป็นสารเภสัชกัมมันตรังสีที่มหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์กในสหรัฐอเมริกาพัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2545 ก่อนที่นำมาใช้อย่างแพร่หลายทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี และประเทศไทย โดยนำมาสังเคราะห์รวมกับสารที่มีลักษณะเดียวกับสารชีวเคมีในร่างกาย เช่น น้ำตาล กรดอะมิโน ด้วยการฉีดก่อนที่จะตรวจหาสารเบต้าอมีลอยด์ ด้วยเครื่อง PET Scan ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ผู้เชี่ยวชาญได้ให้การยอมรับในการตรวจวินิจฉัยภาวะอัลไซเมอร์ จากสถิติผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ในทุก ๆ 5 ปี เนื่องจากคนมีอายุยืนยาวขึ้นโดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุยืนกว่าผู้ชาย ผลการสำรวจระบุว่า ตัวเลขเฉลี่ยคนไทยกว่า 2 ล้านคน ภายใน 5 ปีข้างหน้า เริ่มตั้งแต่ช่วงอายุ 50-65 ปี เป็นโรคสมองเสื่อมที่มีความผิดปกติเรื่องของความจำบกพร่อง แต่ไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์ ทำให้กว่าจะรู้ตัวอาการของโรคก็ลุกลามเกินเยียวยา ซึ่งสาเหตุมักเกิดจากการเสื่อมที่เกิดขึ้นตามวัย พันธุกรรม อุบัติเหตุทางสมอง โรคหลอดเลือดสมอง โรคจากการติดเชื้อของสมอง โรคทางกายที่มีผลกระทบต่อเซลล์สมอง เป็นต้น

ดร.นพ.โยธิน กล่าวต่อว่า ที่สำคัญสารดังกล่าวนี้มีความปลอดภัยและใช้กันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ ซึ่งมีข้อดีคือ สามารถตรวจหาสารเบต้าอมีลอยด์ในสมองผู้ป่วยได้ตั้งแต่ระยะที่ยังไม่แสดงอาการ ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องเจาะไขสันหลังเพื่อตรวจดูภาวะผิดปกติของโรคอัลไซเมอร์ และสามารถให้ผลการตรวจที่แม่นยำ ที่สำคัญผู้ป่วยเองไม่ต้องเจ็บตัวอีกด้วย โดยการวินิจฉัยภาวะสมองเสื่อมด้วยเทคนิค PET Scan หรือ FDG-PET Brain ที่นำมาใช้ในการตรวจโรคอัลไซเมอร์นั้น สามารถที่จะแยกโรคจากโรคสมองเสื่อมชนิดอื่น ๆ ได้อย่างชัดเจน ทำให้ได้แนวทางในการรักษาที่ถูกต้อง เช่น Lewy body dementia หรือ LBD เป็นโรคที่มีอาการร่วมกันระหว่างอัลไซเมอร์กับพาร์กินสัน พบได้ 30% ผู้ป่วยมักมีอาการโรคพาร์กินสันร่วมด้วยทำให้การนอนหลับผิดปกติ หรือเห็นภาพหลอน, Vascular dementia สมองเสื่อมจากโรคหลอดเลือด และภาวะสมองเสื่อมแบบ Fronto temporal dementia หรือ FTD ซึ่งเป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นด้านหน้าและด้านข้างของสมอง ผู้ป่วยจะมีพฤติกรรมโมโหร้าย มีปัญหาเรื่องการพูด นอกจากนี้ยังใช้ในการประเมินความรุนแรงของโรคสมองเสื่อมในระยะต่าง ๆ ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ระยะกลาง และระยะสุดท้ายของโรค ซึ่งความแม่นยำในการตรวจหาสารเบต้าอมีลอยด์ นั้น เราพบว่ามีสารดังกล่าว 90% ในผู้ป่วยอายุ 70 ปี และ 70-75% ในผู้ป่วยอายุ 80 ปี ดังนั้น ถ้ามีการตรวจพบสารนี้ 70-80% จะกลายเป็นโรคอัลไซเมอร์ภายใน 3 ปี

โรคอัลไซเมอร์มีระยะเวลาก่อโรคนาน 15-20 ปี กว่าจะมีอาการสมองเสื่อมที่ชัดเจน การแสดงอาการของโรคจะค่อย ๆ เป็นไปอย่างช้า ๆ เริ่มต้นจากไม่มีความผิดปกติเรื่องความจำ และเริ่มมีอาการความจำถดถอย ซึ่งการที่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการความจำถดถอยเกิดขึ้นเป็นผลมาจากการสะสมของสารเบต้าอมีลอยด์ที่ทำลายเซลล์สมองมาแล้ว 10-15 ปี ต่อมาผู้ป่วยจึงจะมีอาการมากขึ้นเรื่อย ๆ จนมีอาการสมองเสื่อมชัดเจน ทำให้การวินิจฉัยและรักษาทำได้ไม่ทันท่วงที ซึ่งส่วนหนึ่งคนไข้มักละเลยอาการ คิดว่าผิดปกติทางความจำเล็กน้อย ไม่ได้เป็นอาการเริ่มต้นของโรคสมองเสื่อม และเข้าใจผิดที่คิดว่าโรคอัลไซเมอร์เป็นโรคที่เกิดในผู้สูงอายุ ไม่สามารถป้องกันหรือรักษาให้หายขาดได้ และต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่องไปตลอดชีวิต

ดังนั้น หากสงสัยว่าตัวเองมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคสมองเสื่อม และมีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป ควรไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการตรวจโรคด้วยเครื่อง PET Scan เพราะเทคนิคการตรวจนี้สามารถพยากรณ์ล่วงหน้าได้ 15 ปี จะทำให้เรารู้ตัวล่วงหน้าว่าตัวเองมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคสมองเสื่อมหรือไม่ ที่สำคัญยังช่วยให้เราวางแผนและปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เหมาะสมได้ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคอัลไซเมอร์ ดร.นพ.โยธิน กล่าวทิ้งท้าย