ควบคุมโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ด้วย GLP-1 Agonist และ Basal Insulin
Lancet. 2014;384(9961):2228-2234.
บทความเรื่อง Glucagon-like Peptide-1 Receptor Agonist and Basal Insulin Combination Treatment for the Management of Type 2 Diabetes: A Systematic Review and Meta-Analysis รายงานว่า การรักษาด้วย glucagon-like peptide-1 (GLP-1) agonist ร่วมกับ basal insulin ได้รับการเสนอเป็นแนวทางการรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งมีผลดีในการลดระดับน้ำตาล ขณะที่มีความเสี่ยงต่ำต่อภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือน้ำหนักขึ้น นักวิจัยจึงได้ศึกษาแบบ systematic review และ meta-analysis จากข้อมูลการศึกษา randomized controlled trials เพื่อประเมินผลการรักษาต่อการควบคุมน้ำตาล ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ และน้ำหนักขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2
นักวิจัยสืบค้นข้อมูลการศึกษา randomized controlled trials (ตีพิมพ์ระหว่างวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1950 ถึงวันที่ 29 กรกฎาคม ค.ศ. 2014 โดยไม่มีข้อจำกัดด้านภาษา) ซึ่งเปรียบเทียบการรักษาด้วย GLP-1 agonist ร่วมกับ basal insulin combination กับการรักษาอื่น จุดยุติหลัก ได้แก่ การควบคุมระดับน้ำตาล ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ และการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัว และประเมินข้อมูลรวมด้วยตัวแบบ random-effects model โดยสืบค้นจาก PubMed, Embase, Cochrane, Web of Knowledge, FDA.gov และ ClinicalTrials.gov
มีงานวิจัยที่สอดคล้องกับเกณฑ์การคัดเลือก 15 การศึกษาจาก 2,905 การศึกษา (N = 4,348 คน) เมื่อเทียบกับการรักษาเบาหวานอื่นพบว่า การรักษาด้วย GLP-1 agonist ร่วมกับ basal insulin มีค่า mean reduction ของ glycated haemoglobin (HbA1c) ดีขึ้นเป็น -0.44% (95% CI -0.60 to -0.29) และมีแนวโน้มที่ดีขึ้นที่จะลดลงถึงเป้าหมาย HbA1c ที่ 7.0% หรือต่ำกว่า (relative risk [RR] 1.92; 95% CI 1.43-2.56) ขณะเดียวกันก็ไม่พบความเสี่ยงที่สูงขึ้นต่อภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (0.99; 0.76-1.29) และมี mean reduction ของน้ำหนักตัวเท่ากับ -3.22 kg (-4.90 to -1.54) นอกจากนี้เมื่อเทียบกับสูตร basal-bolus insulin พบว่าการรักษาด้วย GLP-1 agonist ร่วมกับ basal insulin มีค่า mean reduction ของ HbA1c เท่ากับ -0.1% (-0.17 to -0.02) แต่มี relative risk ที่ต่ำกว่าต่อภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (0.67, 0.56-0.80) และการลดลงของน้ำหนักตัวเฉลี่ย (-5.66 kg; -9.8 to -1.51)
การรักษาด้วย GLP-1 agonist และ basal insulin ส่งผลดีต่อการรักษาโรคเบาหวานทั้งการควบคุมระดับน้ำตาลอย่างคงที่โดยไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือน้ำหนักขึ้น ทำให้การรักษาสูตรนี้เป็นแนวทางการรักษาที่มีศักยภาพซึ่งอาจส่งผลดีต่อการควบคุมโรคเบาหวานในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2