Metformin ในผู้ป่วย Advanced Pancreatic Cancer
Lancet. Published Online: 8 June 2015
บทความเรื่อง Metformin in Patients with Advanced Pancreatic Cancer: A Double-Blind, Randomised, Placebo-Controlled Phase 2 Trial รายงานว่า มีข้อมูลจากการศึกษาก่อนหน้านี้ชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่าง metformin และการออกฤทธิ์ต้านมะเร็งและผลกระทบที่ต่ำลงในมะเร็งหลายชนิด รวมถึงมะเร็งตับอ่อน ซึ่งเสนอแนะว่า metformin อาจมีข้อบ่งใช้ในด้านมะเร็งวิทยาด้วย การศึกษานี้จึงประเมินประสิทธิภาพของการเพิ่ม metformin ร่วมกับ systemic therapy มาตรฐานในผู้ป่วยมะเร็งตับอ่อนระยะลุกลาม และรายงานข้อมูลจากการศึกษาทางคลินิก และ survival endpoint ของ metformin สำหรับข้อบ่งใช้ด้านมะเร็งวิทยา
การศึกษามีขึ้นประเทศในเนเธอร์แลนด์จากผู้ป่วยอายุ 18 ปีหรือมากกว่าซึ่งเป็นมะเร็งตับอ่อนระยะลุกลาม โดยสุ่มให้ผู้ป่วยได้รับ gemcitabine (1,000 มิลลิกรัม/ตารางเมตร) ทางหลอดเลือดดำในวันที่ 1, 8 และ 15 ทุก 4 สัปดาห์ และ erlotinib (100 มิลลิกรัม) แบบยารับประทาน วันละครั้งร่วมกับ metformin แบบยารับประทานหรือยาหลอก วันละ 2 ครั้ง ขนาดยา metformin เพิ่มขึ้นจาก 500 มิลลิกรัม (ในสัปดาห์แรก) เป็น 1,000 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้งในสัปดาห์ที่ 2 การสุ่มได้แบ่งชั้นตามโรงพยาบาล สถานะโรคเบาหวาน และระยะของมะเร็ง และจุดยุติปฐมภูมิ ได้แก่ การรอดชีวิตโดยรวมที่ 6 เดือนใน intention-to-treat population
ระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 2010 ถึงวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 2014 มีผู้ป่วย 121 ที่สุ่มให้ได้รับ gemcitabine และ erlotinib ร่วมกับยาหลอก (n = 61) หรือ metformin (n = 60) การรอดชีวิตโดยรวมที่ 6 เดือนเท่ากับ63.9% (95% CI 51.9-75.9) ในกลุ่มที่ได้รับยาหลอก และ 56.7% (44.1-69.2) ในกลุ่มที่ได้รับ metformin (p = 0.41) โดยไม่พบความต่างด้านการรอดชีวิตโดยรวม (มัธยฐาน 7.6 เดือน [95% CI 6.1-9.1] vs 6.8 เดือน [95% CI 5.1-8.5] ในกลุ่ม metformin; hazard ratio [HR] 1.056 [95% CI 0.72-1.55]; log-rank p = 0.78) ผลข้างเคียงระดับ grade 3-4 ที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ neutropenia (15 ราย [25%] ในกลุ่มยาหลอก vs 15 [25%] ในกลุ่ม metformin), ผื่นผิวหนัง (6 ราย [10%] vs 4 ราย [7%]), ท้องร่วง (3 ราย [5%] vs 6 ราย [10%]) และอ่อนเพลีย (2 ราย [3%] vs 6 ราย [10%])
การเพิ่ม metformin ไม่ได้ช่วยให้ผลลัพธ์ดีขึ้นในผู้ป่วยมะเร็งตับอ่อนระยะลุกลามซึ่งได้รับการรักษาด้วย gemcitabine และ erlotinib การศึกษาในภายหน้าควรรวมการศึกษายาในกลุ่ม biguanide ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และควรเน้นไปที่ผู้ป่วย hyperinsulinaemia และผู้ป่วยมะเร็งซึ่งไวต่อ energetic stress เช่น สูญเสียการทำงานของ AMP kinase ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อ cellular energy homoeostasis