ความก้าวหน้าใหม่ ๆ ของการรักษาผู้ป่วย HIV
อ.นพ.สันติ สิลัยรัตน์ คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช
ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา การรักษาโรคติดเชื้อ HIV มีการพัฒนาขึ้นอย่างมาก เนื่องจากการค้นพบยาต้านไวรัส (antiretroviral therapy: ART) ใหม่ ๆ ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนในปัจจุบันโรคติดเชื้อ HIV ที่เคยถูกมองว่าเป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิต กลายมาเป็นเพียงโรคที่มีการติดเชื้ออย่างเรื้อรังเท่านั้น การตรวจวินิจฉัยการติดเชื้อ และการเริ่มต้นรักษาที่เร็วขึ้นก็ช่วยทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว และลดโอกาสในการแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่นลดลงได้มากอีกด้วย ซึ่งทำให้ความหวังในการรักษาผู้ป่วยในกลุ่มนี้ดีขึ้นเรื่อย ๆ เป็นลำดับ
ระบาดวิทยาของโรคติดเชื้อ HIV
โรคติดเชื้อ HIV ยังคงเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญระดับโลก ดังจะเห็นได้จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) ที่รายงานว่าในปี ค.ศ. 2013 มีผู้ป่วยมากถึง 1.5 ล้านรายทั่วโลกที่เสียชีวิตจากโรคนี้ และมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นถึง 2.1 ล้านรายเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 ที่ผ่านมา จำนวนผู้เสียชีวิตและเจ็บป่วยจากโรคนี้ก็มีแนวโน้มที่ลดลง ทั้งนี้เนื่องมาจากการปรับแผนกลยุทธ์ใหม่ในการจัดการโรคติดเชื้อ HIV และโรคเอดส์ที่เรียกว่า “90-90-90” นั่นคือ สามารถวินิจฉัยผู้ที่ติดเชื้อ HIV อย่างน้อย 90% ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด ผู้ติดเชื้ออย่างน้อย 90% ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส และในจำนวนผู้ที่ได้รับการรักษาอย่างน้อย 90% สามารถจำกัดจำนวนเชื้อไวรัสในร่างกายได้ และมีระดับภูมิคุ้มกันที่ดี ซึ่งแม้ว่าในปัจจุบันประเทศส่วนใหญ่ในโลกยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวนี้ได้ แต่ก็ช่วยทำให้แนวโน้มของการรักษาโรคติดเชื้อ HIV ดีขึ้นมาเรื่อย
การวินิจฉัยการติดเชื้อ HIV
ในปัจจุบันวิธีการตรวจวินิจฉัยการติดเชื้อ HIV ได้รับการพัฒนาไปมากทำให้สามารถตรวจได้ง่าย และได้ผลการตรวจอย่างรวดเร็ว ผู้ที่ต้องการรับการตรวจสามารถขอรับการตรวจได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากแพทย์ ทำให้มีจำนวนผู้ที่เข้ารับการตรวจเพิ่มมากขึ้นถึง 33% จากปี ค.ศ. 2009-2013 การส่งตรวจและทราบสถานการณ์ติดเชื้อของตนเองมีส่วนช่วยทำให้การเข้าถึงการรักษา ตลอดจนการหาวิธีการป้องกันการกระจายเชื้อทำได้ง่ายขึ้น ปัจจุบันการส่งตรวจเพื่อค้นหาการติดเชื้อ แนะนำให้ทำในกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้คือ