Ribociclib แบบ First-Line Therapy สำหรับมะเร็งเต้านม HR-Positive
N Engl J Med 2016;375:1738-1748.
บทความเรื่อง Ribociclib as First-Line Therapy for HR-Positive, Advanced Breast Cancer รายงานข้อมูลจากการศึกษาแบบสุ่มเปรียบเทียบกับยาหลอกระยะที่ 3 เพื่อประเมินประสิทธิภาพการรักษาด้วย ribociclib ซึ่งเป็นยายับยั้งออกฤทธิ์จำเพาะกับ CDK4/6 ร่วมกับ letrozole สำหรับการรักษาแบบ first-line treatment ในผู้หญิงวัยทอง 668 ราย ซึ่งเป็นมะเร็งเต้านมชนิด HR-positive, HER2-negative recurrent หรือมะเร็งเต้านมระยะลุกลามและไม่เคยได้รับการรักษาแบบ systemic therapy สำหรับมะเร็งระยะท้ายมาก่อน ผู้ป่วยได้รับ ribociclib (600 มิลลิกรัมต่อวัน ด้วยตารางการรักษาแบบให้ยา 3 สัปดาห์ และหยุด 1 สัปดาห์) ร่วมกับ letrozole (2.5 มิลลิกรัมต่อวัน) หรือยาหลอกร่วมกับ letrozole จุดยุติปฐมภูมิ ได้แก่ การรอดชีพโดยโรคสงบประเมินโดยผู้ศึกษาวิจัย จุดยุติทุติยภูมิ ได้แก่ การรอดชีพโดยรวม อัตราการตอบสนองโดยรวม และความปลอดภัย การวิเคราะห์ระหว่างการวิจัยมีขึ้นในวันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 2016 หลังผู้ป่วย 243 รายเกิดมะเร็งกำเริบหรือเสียชีวิต เกณฑ์ความเหนือกว่าประเมินจาก hazard ratio เท่ากับ 0.56 หรือต่ำกว่าร่วมกับ p < 1.29 x 10-5
ระยะการรอดชีพโดยโรคสงบยาวกว่าอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มที่ได้รับ ribociclib เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (hazard ratio เท่ากับ 0.56; 95% CI อยู่ระหว่าง 0.43-0.72; p = 3.29 x 10-6 สำหรับความเหนือกว่า) มัธยฐานระยะการตรวจติดตามเท่ากับ 15.3 เดือน หลัง 18 เดือนพบว่า อัตราการรอดชีพโดยโรคสงบเท่ากับร้อยละ 63 (95% confidence interval [CI] อยู่ระหว่าง 54.6-70.3) ในกลุ่มที่ได้รับ ribociclib และร้อยละ 42.2 (95% CI อยู่ระหว่าง 34.8-49.5) ในกลุ่มที่ได้รับยาหลอก ในผู้ป่วยที่สามารถวัดขนาดก้อนมะเร็งได้ชัดเจนที่พื้นฐานพบว่า อัตราการตอบสนองโดยรวมเท่ากับร้อยละ 52.7 และ 37.1 ตามลำดับ (p < 0.001) เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ระดับ 3 และ 4 ที่พบบ่อยในกว่าร้อยละ 10 ของผู้ป่วยในทั้ง 2 กลุ่ม ได้แก่ (ร้อยละ 59.3 ในกลุ่มที่ได้รับ ribociclib เทียบกับร้อยละ 0.9 ในกลุ่มที่ได้รับยาหลอก) และ leukopenia (ร้อยละ 21.0 เทียบกับร้อยละ 0.6) โดยมีอัตราการหยุดยาเนื่องจากเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์เท่ากับร้อยละ 7.5 และร้อยละ 2.1 ตามลำดับ
ข้อมูลจากผู้ป่วยที่ได้รับ systemic treatment เป็นครั้งแรกสำหรับมะเร็งเต้านมระยะท้ายซึ่งเป็น HR-positive, HER2-negative ชี้ว่าระยะการรอดชีพโดยโรคสงบยาวกว่าอย่างมีนัยสำคัญในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วย ribociclib ร่วมกับ letrozole เทียบกับผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาหลอกร่วมกับ letrozole โดยพบอัตราการเกิด myelosuppression ที่สูงกว่าในกลุ่มที่ได้รับ ribociclib