Diabetes Care to Goal ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการดูแลรักษาผู้ป่วยเบาหวานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
จากการที่สหประชาชาติได้กำหนด 9 เป้าหมายควบคุมโรคไม่ติดต่อ โดยเน้นลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังร้อยละ 25 ภายในปี พ.ศ. 2568 ซึ่งโรคเบาหวานถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายและเป็นปัญหาสุขภาวะที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยและครอบครัว รวมถึงรายได้และเศรษฐกิจของประชาชน โดยที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขได้มีแผนการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคเบาหวานในหลายแนวทาง ตั้งแต่กลุ่มเสี่ยงไปจนถึงกลุ่มที่มีภาวะดื้ออินซูลิน ทั้งนี้เพื่อลดอัตราผู้ป่วยรายใหม่ ส่งเสริมควบคุมให้ผู้ป่วยดูแลระดับน้ำตาลได้ดี ได้รับการคัดกรองภาวะแทรกซ้อนเพื่อช่วยประเมินภาวะเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนและความพิการลดลง ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีมาตรการต่าง ๆ ออกมาเพื่อลดจำนวนผู้ป่วยและลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคเบาหวานแล้วก็ตาม แต่โรคเบาหวานก็ยังถือเป็นภัยเงียบและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั้งในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก
การที่จะสร้างกลไกในการป้องกันดูแลโรคเบาหวานอย่างยั่งยืน จึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในการประสานความร่วมมือพัฒนาการดูแลรักษาผู้ป่วยเบาหวานให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยย้ำให้ตระหนักถึงอันตรายจากโรคเบาหวานซึ่งเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เกิดจากความผิดปกติของร่างกายที่มีการผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ ส่งผลทำให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูงเกินไป ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคเบาหวาน ได้แก่ ครอบครัวมีประวัติเป็นโรคเบาหวาน การรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ การไม่ออกกำลังกาย หรือน้ำหนักตัวที่มากเกินไป เป้าหมายหลักของการรักษาโรคเบาหวานคือ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติหรือใกล้เคียงปกติ โดยไม่มีน้ำตาลต่ำ เพื่อชะลอและป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อนในอนาคต ตัวชี้วัดหนึ่งที่สำคัญคือ ระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมหรือระดับฮีโมโกลบินเอวันซี (HbA1C) หรือเรียกสั้น ๆ ว่าA1C ซึ่งตัวเลขเป้าหมายที่บอกว่าการควบคุมเบาหวานอยู่ในเกณฑ์ที่ดีคือ ต้องมี A1C น้อยกว่า 7%
ศ.เกียรติคุณ พญ.วรรณี นิธิยานันท์ นายกสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ให้ข้อมูลว่า สถานการณ์โรคเบาหวานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สมาพันธ์เบาหวานนานาชาติรายงานว่า ในปี พ.ศ. 2558 ผู้ป่วยโรคเบาหวานทั่วโลกมีจำนวน 415 ล้านคน และจะเพิ่มขึ้นเป็น 642 ล้านคนในปี พ.ศ. 2583 จะมีผู้เสียชีวิตจากโรคเบาหวานจำนวน 5 ล้านคน ในปัจจุบันประชากรวัยผู้ใหญ่ 1 ใน 11 คน ป่วยเป็นโรคเบาหวาน สำหรับในประเทศไทยมีรายงานของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พบว่าอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคเบาหวานของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2556-2558 เท่ากับ 14.93, 17.53 และ 17.83 คนต่อประชากรแสนคน ตามลำดับ ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นทุกปี การสำรวจสุขภาพประชาชนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป โดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 5 เมื่อปี พ.ศ. 2557 พบว่าความชุกของโรคเบาหวานเพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยละ 8.9 คิดเป็นผู้ป่วยเบาหวานจำนวนมากถึง 4.8 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2552 ซึ่งพบเพียงร้อยละ 6.9 หรือมีคนเป็นโรคเบาหวาน 3.2 ล้านคน
โรคเบาหวานเป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรมและวิถีการดำเนินชีวิตซึ่งสามารถป้องกันได้ การบริหารจัดการโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงด้วยการจัดให้มีบริการดูแลรักษาภายหลังการเกิดโรคแต่เพียงอย่างเดียวไม่อาจลดภาระผู้ป่วย/ครอบครัวและสังคมในระยะยาวได้ ดังนั้น การป้องกันก่อนการเกิดโรคเป็นเรื่องที่จำเป็นที่จะต้องทำควบคู่กันไป โดยมีกรอบแนวคิดการบริหารจัดการควบคุม ป้องกันและรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวาน ทั้งนี้ผู้ป่วยเบาหวานควรต้องมีการจัดการดูแลตัวเองที่ดี (Self-Management) เพราะการจัดการตนเองทำให้ผู้ป่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพในทางที่ดีขึ้น และสามารถควบคุมอาการของโรคได้ นอกจากนี้ยังเข้าใจอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และสามารถจัดการอารมณ์ของตนเองได้ ผู้ป่วยเบาหวานจะสามารถดูแลตัวเองได้ดีจะต้องได้รับความรู้ที่ถูกต้องจากบุคลากรทางการแพทย์ จะเห็นว่าโรคเบาหวานหากควบคุมไม่ได้ตามเป้าหมาย เมื่อเกิดโรคแทรกซ้อนจะเป็นโรคที่มีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาสูงมาก และจะเห็นว่ามีค่าใช้จ่ายเพื่อใช้ในการรักษาโรคเรื้อรังต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นทุกปี ดังนั้น หากผู้ป่วยเบาหวานสามารถดูแลตัวเอง ควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีแล้ว จะสามารถป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อนที่จะตามมาได้ ซึ่งจะส่งผลให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ป่วยทั้งของผู้ป่วยเองและในภาพรวมระดับประเทศได้
avcılar escortศ.เกียรติคุณ พญ.วรรณี กล่าวว่า สมาคมโรคเบาหวานฯ ในฐานะของหน่วยงานที่มีพันธกิจที่สำคัญในการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน ได้มีโครงการเพื่อเพิ่มศักยภาพและความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อที่จะทำให้การดูแลผู้ป่วยเบาหวานมีศักยภาพที่ดีมากขึ้น ในส่วนของการพัฒนาให้ความรู้แก่บุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยเบาหวาน นอกจากการจัดให้มีการประชุมประจำปีแล้ว ยังมีการประชุมวิชาการอื่น ๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการแพทย์และผู้ดูแลชมรมเบาหวาน การประชุมวิชาการสัญจร การสัมมนาพัฒนาเครือข่ายชมรมเบาหวาน สำหรับการเพิ่มความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเบาหวานให้ตระหนักถึงความสำคัญและการป้องกันโรคเบาหวานให้กับประชาชนทั่วไป สมาคมโรคเบาหวานฯ มีการจัดงานสัปดาห์วันเบาหวานโลก ซึ่งมีกิจกรรมรณรงค์เกี่ยวกับโรคเบาหวานทุกปีอีกด้วย มีเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน นอกจากนี้ยังมีการร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น เครือข่ายคนไทยไร้พุง ของ สสส. เพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวาน มีการร่วมมือกับ สปสช. ในโครงการพัฒนาระบบและเครือข่ายบริบาลรักษาเบาหวานชนิดที่ 1 และเบาหวานในเด็กและวัยรุ่น การจัดทำแนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคเบาหวานเพื่อเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคุณภาพการดูแลผู้ป่วยเบาหวานให้แก่แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องทุกระดับ เป็นต้น ซึ่งสมาคมโรคเบาหวานฯ เชื่อว่าการร่วมมือกันเป็นสหสาขาวิชาชีพ และการร่วมมือกันระหว่างองค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนจะสามารถพัฒนาการดูแลผู้ป่วยเบาหวานให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นต่อไปได้อย่างแน่นอน
“ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ป่วยเบาหวานที่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม (HbA1C) ได้ตามเป้าหมายประมาณ 35.6% หรือเพียง 1 ใน 3 ซึ่งหากเราสามารถควบคุมระดับน้ำตาลสะสมได้ตามเป้าหมายจะลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อน ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของการบริหารการดูแลโรคเบาหวาน เป้าหมายหลักนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากการร่วมมือกันของบุคลากรทางการแพทย์เป็นทีมสหสาขาวิชาชีพ รวมทั้งผู้ป่วยเบาหวานและครอบครัว ปัจจัยที่ส่งผลต่อการควบคุมระดับ A1C เช่น อาหาร การดำเนินชีวิต ยาที่ใช้ และการมีวินัยในการบริหารยาของผู้ป่วย อุปสรรคสำคัญในการควบคุมน้ำตาลตามเป้าหมายคือ ภาวะน้ำตาลต่ำ และการกลัวภาวะน้ำตาลต่ำในเลือด หรือไฮโปกลัยซีเมีย (Hypoglycemia) ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กับแพทย์และตัวผู้ป่วยเอง เนื่องจากอาจมีความกังวลถึงอันตรายจากภาวะน้ำตาลต่ำอย่างรุนแรง ส่งผลให้ไม่กล้าปรับขนาดยา จึงทำให้คุมระดับน้ำตาลไม่ได้ ดังนั้น หากเราต้องการเพิ่มจำนวนผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุม A1C ได้ตามเป้าหมายมากขึ้น จะต้องได้รับความร่วมมือและความใส่ใจของทั้งผู้ป่วยและแพทย์ด้วย”
พ.อ.(พิเศษ) รศ.พญ.อภัสนี บุญญาวรกุล ผู้อำนวยการกองอายุรกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กล่าวว่า การรักษาและดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานเพื่อให้สามารถคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ได้ตามเป้าหมายคือ ระดับฮีโมโกลบิน (HbA1C) หรือ A1C ที่น้อยกว่า 7% มีปัจจัยหลายอย่างที่มีผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ตามที่อาจารย์วรรณีได้กล่าวไว้ข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นอาหาร การดำเนินชีวิต (Lifestyle) และยาลดระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งมีทั้งยาลดระดับน้ำตาลในเลือดชนิดรับประทานและยาฉีดอินซูลิน อีกทั้งความสามารถในการบริหารยาของผู้ป่วยก็เป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่จะช่วยให้มีการควบคุมน้ำตาลได้ตามเป้าหมาย ซึ่งมีหลักฐานอ้างอิงทางวิชาการระบุว่ายาอินซูลินเป็นยาที่ช่วยควบคุมระดับ A1C ได้มากที่สุด ซึ่งยาอินซูลินในปัจจุบันก็มีการพัฒนาออกมาหลายแบบ แพทย์สามารถเลือกใช้ยาอินซูลินในแบบที่มีความเหมาะสมกับผู้ป่วยทั้งการใช้ชีวิตประจำวัน (การรับประทานอาหาร และการทำงาน) ก็จะช่วยให้ผู้ป่วยมีระดับ A1C ได้ตามเป้าหมาย
ข้อจำกัดในการใช้ยารักษาผู้ป่วยเบาหวานให้สามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้ได้ตามเป้าหมาย โดยสามารถชะลอการเกิดโรคแทรกซ้อนในอนาคตคือ ภาวะน้ำตาลต่ำ และการกลัวการเกิดภาวะน้ำตาลต่ำในเลือดจากการใช้ยา ยาอินซูลินที่มีใช้อยู่ในปัจจุบันยังไม่สามารถเลียนแบบการหลั่งอินซูลินเหมือนคนปกติ จึงยังมีข้อจำกัดเรื่องเวลาในการบริหารยาให้ตรงตามความต้องการของร่างกาย ยาที่ออกฤทธิ์สั้นเกินไปทำให้ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ตลอดทั้งวัน ทั้งยังเกิดความแปรปรวนในการออกฤทธิ์ของยา ซึ่งอาจทำให้ค่าน้ำตาลในกระแสเลือดสูงหรือต่ำเกินไปได้ ดังนั้น ยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยเบาหวานที่เป็นยาในอุดมคติควรจะต้องมีคุณสมบัติในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ตลอดทั้งวันเหมือนกับคนปกติ ไม่เกิดภาวะน้ำตาลต่ำหรือมีโอกาสเกิดน้อยที่สุด ผู้ป่วยสามารถบริหารยาได้เอง มีความยืดหยุ่นในการบริหารยาคือ สามารถฉีดยาเวลาไหนก็ได้
ปัจจุบันมีการพัฒนายาอินซูลินรุ่นใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการ และลักษณะการดำเนินชีวิตของผู้ป่วย กล่าวคือ มีระยะออกฤทธิ์ยาวมากกว่า 24 ชั่วโมง โดยระดับยาในกระแสเลือดที่คงที่ทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลได้ยาวนานคงที่ ทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดภาวะน้ำตาลต่ำน้อยมาก อีกทั้งมีความยืดหยุ่นในการบริหารยาคือ สามารถฉีดยาเวลาไหนก็ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการฉีดยาว่าต้องฉีดเวลาเดิม ๆ ทุกวัน ผู้ป่วยจึงยอมรับการฉีดยาได้ง่ายขึ้น และทำให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ตามเป้าหมาย ซึ่งจะส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วยในอนาคตอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม นอกจากการบริหารยาอย่างถูกต้อง ผู้ป่วยต้องมีวินัยในการดูแลตัวเองให้ดีเพื่อสามารถอยู่กับเบาหวานได้อย่างมีความสุขด้วย
Dr.Kirstine Brown Frandsen, Corporate Vice President, Novo Nordisk A/S กล่าวว่า บริษัทโนโว นอร์ดิสค์ มีความมุ่งมั่นในการพัฒนายาใหม่ ๆ มาตลอดกว่า 90 ปี เพื่อพัฒนาการดูแลรักษาผู้ป่วยเบาหวานให้ดียิ่งขึ้น โดยมีการคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมยาชีววัตถุใหม่ ๆ รวมถึงอุปกรณ์ในการฉีดยาอินซูลินเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยทั่วโลก ให้สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ตามเป้าหมาย มีความสะดวกสบายในการบริหารยา และลดความเสี่ยงในการเกิดอาการข้างเคียงหรือชะลออาการแทรกซ้อนในอนาคต
การวิจัยทางคลินิกสำหรับการพัฒนายาใหม่เป็นสิ่งที่ยากและท้าทาย และมีความสำคัญในกระบวนการพัฒนายาเพื่อติดตามประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการใช้ยา ซึ่งต้องใช้ระยะเวลานานกว่า 10 ปี ในการพัฒนายาแต่ละชนิด แม้ว่าการพัฒนายาใหม่มีความก้าวหน้ามากขึ้น แต่การอนุมัติยาใหม่เพื่อให้ใช้กับผู้ป่วยจะต้องมีการทำการวิจัยเพื่อพิสูจน์ให้เห็นถึงความปลอดภัยในการใช้ยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความปลอดภัยเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดและหัวใจ ซึ่งบริษัทโนโว นอร์ดิสค์ ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ โดยในปัจจุบันมีผลการศึกษาที่เพิ่งออกมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ ไม่ว่าจะเป็น DEVOTE study, LEADER study และ SUSTAIN study ซึ่งยืนยันว่านอกจากได้ผลดีในการรักษาโรคเบาหวานเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลที่ดีแล้ว ยังมีความปลอดภัยต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจ รวมถึงการทำงานของไตและลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะน้ำตาลต่ำในเลือด เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถใช้ยาได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
Mr.Frederik Kier, Senior Vice President, Region AAMEO, Novo Nordisk กล่าวว่า บริษัทโนโว นอร์ดิสค์ มีความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงโรคเบาหวานและโรคเรื้อรังอันเป็นสาเหตุที่จะทำให้เกิดโรคเบาหวานในประเทศไทย โดยถือผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง โดยพยายามพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยที่จะได้รับ ป้องกันและชะลอการเกิดโรคแทรกซ้อนเพื่อทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
บริษัทโนโว นอร์ดิสค์ ประเทศไทย ก่อตั้งและดำเนินงานมาแล้วกว่า 30 ปี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เรานำยาเบาหวานเข้ามาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นยาอินซูลินชนิดดั้งเดิม อินซูลินอะนาล็อก (Modern Insulin) และอินซูลินชนิดใหม่ (New Generation Insulin) และยากลุ่มใหม่ที่สังเคราะห์เลียนแบบ GLP-1 (GLP-1 analog) เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาได้อย่างทั่วถึงตามสิทธิหลักประกันสุขภาพของประชาชนคนไทย
การดูแลผู้ป่วยเบาหวานในปัจจุบัน นอกเหนือจากการควบคุมระดับน้ำตาลให้ถึงเป้าหมายแล้ว ยังต้องคำนึงถึงความเสี่ยงในการเกิดภาวะน้ำตาลต่ำในเลือดและความปลอดภัยจากโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ของผู้ป่วยด้วย สิ่งหนึ่งที่จะสามารถป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำและโรคแทรกซ้อนได้คือ ความร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วย นอกจากอุปกรณ์ฉีดยาที่ง่ายต่อการใช้ยาที่มีประสิทธิภาพแล้ว ก็มีส่วนช่วยเพิ่มความร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วยได้ และสิ่งสำคัญที่สุดคือ ความมีวินัยของผู้ป่วยและความเอาใจใส่ในการให้กำลังใจและสนับสนุนจากครอบครัวและบุคลากรทางการแพทย์ในการดูแลผู้ป่วย