ภาวะดื้อต่อยากลุ่ม Opioids ในระยะวิกฤติ (Opioid Tolerance in Critical Illness)
อ.นพ.สันติ สิลัยรัตน์ คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช
ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะวิกฤติส่วนใหญ่มักจะต้องได้รับการตรวจรักษาต่าง ๆ อย่างเร่งด่วนซึ่งมักจะส่งผลทำให้ผู้ป่วยต้องได้รับการทำหัตถการชนิดต่าง ๆ มากขึ้นตามไปด้วย การให้ยาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดและคลายความวิตกกังวลจึงเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งโดยทั่วไปแล้วยาที่ถูกนำมาใช้บ่อยเพื่อวัตถุประสงค์นี้มักจะเป็นยาในกลุ่ม opioids เนื่องจากมีฤทธิ์ในการบรรเทาความเจ็บปวดได้ดี อย่างไรก็ตาม ปัญหาหนึ่งที่มักจะพบจากการใช้ยาในกลุ่มนี้ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ได้แก่ ภาวะดื้อต่อยากลุ่ม opioids (opioid tolerance), อาการติดยา (physical dependence), อาการถอนยาหลังจากหยุดใช้ (opioid withdrawal) รวมไปถึงอาการปวดเรื้อรังที่เป็นจากการใช้ยา opioids (opioid-induced hyperalgesia) สำหรับในกรณีของ opioid tolerance การทำความเข้าใจเกี่ยวกับกลไกของการเกิด และแนวทางในการจัดการจะสามารถช่วยทำให้ช่วยลดปัญหาอาการดื้อต่อยาในกลุ่มนี้ลงได้
การตอบสนองของเนื้อเยื่อและไขสันหลังต่อการบาดเจ็บ
ผู้ป่วยในระยะวิกฤติส่วนใหญ่จะมีการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อของร่างกายจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งซึ่งส่งผลทำให้เกิดกระบวนการอักเสบทั้งแบบเฉพาะที่และที่กระจายอยู่ทั่วร่างกาย การอักเสบนี้ส่งผลทำให้มีการสร้างและปล่อยสารชนิด glycine และ gamma-aminobutyric acid ไปกระตุ้นตัวรับในกระบวนการรับรู้ความเจ็บปวด ซึ่งส่งผลทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการปวดที่บริเวณที่เกิดการบาดเจ็บและมีความไวต่อความรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าปกติ (hyperalgesia หรือ allodynia) เกิดขึ้นได้ ในขณะเดียวกันร่างกายก็มีกลไกในการควบคุมการสื่อสัญญาณความเจ็บปวดเหล่านี้ไม่ให้มากเกินไปได้ด้วยการกระตุ้นผ่านตัวรับชนิด N-methyl-D-aspartate (NMDA) ที่อยู่ภายในไขสันหลัง ซึ่งมีผลทำให้ความไวของปลายประสาทรับความรู้สึกเจ็บปวด (nociceptors) ลดลงได้ อย่างไรก็ตาม ในผู้ป่วยบางรายที่มีการบาดเจ็บเกิดขึ้นอย่างรุนแรง การกระตุ้นความรู้สึกเจ็บปวดจะเพิ่มขึ้นอย่างมากซึ่งทำให้ผู้ป่วยไวต่อความเจ็บปวดมากขึ้น และจำเป็นต้องได้รับการรักษาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดลง
ข้อบ่งชี้ของการใช้ยาในกลุ่ม Opioids และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการควบคุมอาการปวดที่ไม่เพียงพอ
โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยที่อยู่ในระยะวิกฤติมักจะมีความเจ็บปวดอยู่ในระดับปานกลางไปจนถึงมาก เนื่องจากมักจะได้รับการใส่สายหรืออุปกรณ์ชนิดต่าง ๆ ไว้ตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย และอาจจำเป็นต้องได้รับการตรวจรักษาด้วยวิธีการทำหัตถการชนิดต่าง ๆ ด้วย แต่ส่วนใหญ่มักจะไม่ได้รับการตรวจหรือได้รับการรักษาที่เหมาะสมเพียงพอ เนื่องจากผู้ป่วยเหล่านี้มักจะไม่สามารถสื่อสารเพื่อบอกความรู้สึกของตนเองได้จากข้อจำกัดต่าง ๆ ดังนั้น การประเมินระดับความเจ็บปวดในผู้ป่วยเหล่านี้ด้วยเครื่องมือที่เหมาะสมจึงมีความจำเป็นมาก ในผู้ป่วยที่มีระดับความเจ็บปวดในระดับปานกลางขึ้นไปถือเป็นข้อบ่งชี้ของการให้ยาบรรเทาหรือระงับอาการปวด ซึ่งยาที่นิยมใช้เป็นหลักก็คือยาในกลุ่ม opioids และอาจมีการใช้ยาช่วยทำให้สงบหรือหลับ เช่น ยาในกลุ่ม benzodiazepines ร่วมด้วย ซึ่งในกรณีที่ใช้ร่วมกันควรเริ่มต้นด้วยการให้ยาช่วยบรรเทาอาการปวดก่อน แล้วจึงตามด้วยยาช่วยให้สงบหรือนอนหลับ เรียกว่า analgosedation strategy หรือ analgesia-first sedation
ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการบรรเทาอาการเจ็บปวดในระหว่างที่อยู่ในภาวะวิกฤติมักจะเกิดผลกระทบและภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญหลายประการตามมา เนื่องจากในขณะที่ร่างกายเกิดสภาวะเครียดรุนแรงจะมีการสร้างสารหลายชนิด เช่น catecholamines, glucocorticoids และ antidiuretic hormones ออกมา ซึ่งจะไปกระตุ้นระบบ hypothalamic-pituitary axis และ renin-angiotension-aldosterone axis ส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญต่าง ๆ ตามมา ได้แก่ การสะสมของเกลือและน้ำในร่างกายมากขึ้น เกิดอาการบวมและความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น มีความต้องการใช้ออกซิเจนของเนื้อเยื่อต่าง ๆ รวมถึงกล้ามเนื้อหัวใจเพิ่มมากขึ้น และมีการกระตุ้นกระบวนการสลายกล้ามเนื้อมากขึ้นตามมา นอกจากนี้อาการเจ็บปวดที่รุนแรงยังส่งผลกระทบทางจิตใจต่อผู้ป่วยในแง่ที่ทำให้ผู้ป่วยเกิดความเครียดวิตกกังวล เกิดภาวะซึมเศร้าหดหู่ การนอนหลับผิดปกติ หรือเกิดภาวะ post-traumatic stress disorders ขึ้นได้ ซึ่งผลกระทบทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจดังกล่าวนี้อาจมีผลต่อเนื่องไปในระยะยาว ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดเรื้อรังในเวลาต่อมา หรือมีคุณภาพชีวิตที่แย่ลงได้
อาการข้างเคียงของยาในกลุ่ม Opioids
อาการข้างเคียงที่พบได้จากการใช้ยาในกลุ่ม opioids สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นในระบบประสาทส่วนปลายต่าง ๆ (peripheral side effects) ได้แก่ อาการท้องผูก ปัสสาวะไม่ออก และอาการหลอดลมหดเกร็ง (bronchospasm) และอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นในระบบประสาทส่วนกลาง (central side effects) ได้แก่ อาการง่วงซึม ภาวะการหายใจถูกกด ความดันโลหิตต่ำ คลื่นไส้ อาการเกร็งของกล้ามเนื้อลำตัว (truncal rigidity) และมีการกดกระบวนการไอ อาการข้างเคียงเหล่านี้ในบางกรณีอาจเป็นประโยชน์กับผู้ป่วย เช่น ภาวะความดันโลหิตสูงที่เกิดจากความเจ็บปวด หรืออาการไอจากอุปกรณ์ต่าง ๆ ในทางเดินหายใจ แต่ในอีกหลายกรณีก็อาจทำให้ต้องมีการดูแลผู้ป่วยมากขึ้น เช่น การมีความดันโลหิตลดต่ำลงที่ทำให้ต้องมีการเพิ่มปริมาณสารน้ำที่ให้ทางหลอดเลือดมากขึ้น เป็นต้น นอกเหนือไปจากอาการข้างเคียงต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ผลกระทบหนึ่งจากยาในกลุ่ม opioids ที่มักจะถูกมองข้ามไปก็คือ การเปลี่ยนแปลงของระบบภูมิคุ้มกันที่ตามปกติแล้วสามารถออกฤทธิ์ควบคุมได้โดยตรงบนเม็ดเลือดขาวต่าง ๆ หรือผ่านทางระบบประสาทและต่อมไร้ท่อ (neuroendocrine pathways) ยาในกลุ่ม opioids สามารถทำให้การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันลดลงได้ ดังนั้น ในขณะที่การควบคุมความเจ็บปวดเป็นสิ่งสำคัญ การระมัดระวังไม่ให้เกิดปัญหาในแง่ของระบบภูมิคุ้มกันที่ลดลงจึงเป็นสิ่งที่ละเลยเสียไม่ได้
ในกลุ่มผู้ป่วยที่รับการรักษาอยู่ในหออภิบาล ยากลุ่ม opioids อาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงอื่น ๆ เช่น ความผิดปกติของการนอนหลับ อาการหลงหรือสับสน (delirium) อาการง่วงซึมเกินกว่าที่ต้องการ เป็นต้น ในผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุและบาดแผลไฟไหม้ การใช้ยาในรูปแบบ analgosedation strategy หรือ analgesia-first sedation สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดอาการหลงหรือสับสนได้ แต่สำหรับในผู้ป่วยสูงอายุ การใช้ยาในลักษณะดังกล่าวกลับเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น ดังนั้น การใช้ยาจึงต้องมีการปรับให้เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละกลุ่มด้วย
ภาวะดื้อต่อยากลุ่ม Opioids ในแง่ของเภสัชจลนศาสตร์ (Pharmacokinetics)
ในปัจจุบันความรู้ความเข้าใจทางด้านเภสัชจลนศาสตร์ในผู้ป่วยภาวะวิกฤติยังมีไม่มากนัก มีข้อมูลพบว่ายาในกลุ่มนี้ไม่ได้เหนี่ยวนำให้มีการทำงานของเอนไซม์ cytochrome P450 เพิ่มมากขึ้น ดังนั้น การดื้อต่อยาจึงไม่น่าจะเกิดจากกลไกดังกล่าวนี้ อย่างไรก็ตาม การมีการทำงานของเอนไซม์ P450 มากขึ้นจากยาชนิดอื่นหรือจากภาวะอื่น เช่น ภาวะ hyperdynamic phase ในผู้ป่วยอุบัติเหตุหรือติดเชื้อในกระแสเลือดก็อาจทำให้ระดับยา opioids ในเลือดลดลงได้ และเป็นเหตุทำให้ต้องให้ยาในปริมาณมากขึ้น แต่สาเหตุเหล่านี้ไม่นับเป็นภาวะดื้อต่อยาโดยตรง
กระบวนการอักเสบมีผลทำให้มีสารกลุ่ม acute phase reactant protein เช่น α1-acid glycoprotein เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสารเหล่านี้สามารถจับกับยาบางชนิดได้มากขึ้น เช่น ในกรณีของยา methadone ที่สามารถจับกับโปรตีนชนิดนี้ได้ดีจะส่งผลทำให้มีระดับยาที่อยู่อิสระในเลือดลดลงจากเดิม อย่างไรก็ตาม สำหรับยาอื่น ๆ ในกลุ่ม opioids เช่น fentanyl มีการจับกับโปรตีนชนิดนี้น้อยมาก แต่ก็ยังจำเป็นต้องมีการปรับเพิ่มขนาดยาอยู่ แสดงว่ากลไกนี้ไม่ใช่สาเหตุของภาวะดื้อต่อยา opioids เช่นเดียวกัน ส่วนในแง่ของสาร P-glycoprotein ซึ่งเป็นสารที่สามารถจับกับยาและป้องกันไม่ให้ยาผ่านเข้าไปยังเนื้อเยื่อระบบประสาทนั้น มีข้อมูลพบว่าการใช้ยาในกลุ่ม opioids ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน หรือมีการสร้างสารชนิด tumor necrotic factor α จะกระตุ้นให้มีการสร้างสารชนิดนี้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้การเข้าไปออกฤทธิ์ของยากลุ่ม opioids ในระบบประสาทลดลงได้
ภาวะดื้อต่อยากลุ่ม Opioids ในแง่ของเภสัชพลศาสตร์ (Pharmacodynamics)
ปัจจัยทางด้านเมตาบอลิสม เมื่อยากลุ่ม opioids ถูกเปลี่ยนแปลงด้วยกระบวนการเมตาบอลิสมจะเปลี่ยนเป็นสารชนิดใหม่ซึ่งอาจมีฤทธิ์ในการลดปวดมากขึ้น ลดลง หรือไม่มีเลยก็ได้ ในกรณีของยา morphine เมื่อผ่านกระบวนการเมตาบอลิสมจะเกิดเป็นสารใหม่หลายชนิด เช่น normorphine ที่ไม่มีฤทธิ์ลดอาการปวด, morphine-6-glucuronide ซึ่งมีฤทธิ์มากขึ้น และ morphine-3-glucuronide ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้อาการปวดมากขึ้น (hyperalgesic effects) ได้ ในผู้ป่วยที่มีภาวะไตวายและมีการใช้ยา morpine ในขนาดสูงอาจมีระดับของ morphine-3-glucuronide เพิ่มมากขึ้นทำให้ฤทธิ์ระงับความเจ็บปวดของ morphine น้อยลงได้ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลว่า morphine-3-glucuronide สร้างผลกระทบในลักษณะดังกล่าวนี้ในทางคลินิกได้มากน้อยเพียงใด
ปัจจัยในแง่ของการส่งสัญญาณผ่านตัวรับ opioid เมื่อใช้ยาในระยะสั้นและระยะยาว ยาในกลุ่ม opioids ที่มีใช้กันในเวชปฏิบัติส่่วนใหญ่มีกลไกของการออกฤทธิ์ผ่านทางตัวรับชนิด mu-opioid receptors ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม G-protein-coupled receptors เมื่อตัวรับชนิดนี้ถูกกระตุ้นด้วยยา โครงสร้างของตัวรับชนิดนี้ซึ่งเป็นโปรตีนชนิด heterotrimeric Gαβγ-protein จะเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยแยกตัวออกเป็น Gα และ Gβγ-protein ในขณะเดียวกันก็จะมีการดึงเอาโปรตีนอีกชนิดหนึ่งคือ β-arrestin protein เข้ามา ซึ่งโปรตีนชนิดหลังนี้ในบางครั้งจะจับกับตัวรับและพาเอาตัวรับกลับเข้าไปอยู่ในเซลล์ (internalization หรือ down-regulation) ซึ่งทำให้ไม่สามารถรับการกระตุ้นจากยาได้อีก และเกิดภาวะดื้อต่อยาตามมา การเกิดกระบวนการ down-regulation และภาวะดื้อต่อยาดังกล่าวนี้เป็นกลไกการปกป้องร่างกายตามธรรมชาติเพื่อไม่ให้เกิดการกระตุ้นที่มากหรือน้อยเกินไปต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน และภาวะดื้อต่อยาในลักษณะนี้สามารถกลับสู่สภาพเดิมได้หลังจากที่มีการหยุดใช้ยาแล้วระยะหนึ่งในช่วงเป็นหลายนาทีหรือหลายชั่วโมงขึ้นอยู่กับชนิดของยาที่ใช้
การใช้ยาในกลุ่ม opioids ต่อเนื่องกันเป็นเวลานานสามารถทำให้เกิดภาวะดื้อต่อยาได้ซึ่งมีลักษณะสำคัญคือ การที่ต้องใช้ยาในขนาดที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้สามารถควบคุมอาการเจ็บปวดได้เท่าเดิม อาการดื้อต่อยาดังกล่าวนี้มักจะเกิดขึ้นได้เร็วกว่าความสามารถของยาในการกดการหายใจ ดังนั้น ในผู้ป่วยบางรายที่เกิดภาวะดื้อต่อยาจึงอาจมีภาวะการหายใจถูกกดจากยาได้ระหว่างที่มีการเพิ่มขนาดยาให้สามารถควบคุมอาการปวดได้ ชนิดของยาและวิธีใช้ยาเป็นปัจจัยสำคัญของการเกิดภาวะดื้อต่อยา กล่าวคือ ยาที่ให้ในรูปแบบหยดเข้าทางหลอดเลือด (infusion) จะทำให้เกิดภาวะดื้อต่อยาได้เร็วกว่าการให้ยาแบบครั้งคราว และยาชนิด remifentanil ซึ่งเป็นยาที่มีความแรงของการออกฤทธิ์สูงจะทำให้เกิดภาวะดื้อต่อยาได้เร็วกว่า meperidine ซึ่งมีความแรงน้อยกว่า เป็นต้น
การเปลี่ยนแปลงของระบบภูมิคุ้มกันแบบ Innate Immunity ในระบบประสาทส่วนกลาง
การควบคุมสัญญาณและการกระตุ้นความรู้สึกเจ็บปวดในระบบประสาทส่วนกลางนั้นเกิดขึ้นได้โดยอาศัยการทำการของเซลล์ที่สำคัญคือ astroglia และ microglia โดยการบาดเจ็บหรือการติดเชื้อของเนื้อเยื่อที่เกิดขึ้นจะมีการส่งสัญญาณประสาทผ่านเข้ามายังบริเวณ dorsal horn ของไขสันหลังซึ่งจะทำให้เกิดการกระตุ้นเซลล์ glia ทั้ง 2 ชนิดให้มีการสร้างและหลั่งสารสื่อการอักเสบชนิดต่าง ๆ ออก สารเหล่านี้มีส่วนในการเหนี่ยวนำให้เซลล์ประสาทที่อยู่บริเวณข้างเคียงมีความไวต่อการกระตุ้นมากขึ้น ส่งผลทำให้เกิดภาวะ stress-indued hyperalgesia ตามมา นอกจากนี้สารกลุ่ม catecholamines และ glucocorticoids ซึ่งถูกสร้างเพิ่มขึ้นอย่างมากในสภาวะที่ร่างกายเกิดความเครียดก็จะกระตุ้นให้มีเม็ดเลือดขาวชนิดต่าง ๆ เข้ามาสะสมและหลั่งสารสื่อการอักเสบมากขึ้นอีก
ยาในกลุ่ม opioids สามารถทำให้เกิดการอักเสบในเนื้อเยื่อประสาทได้โดยการกระตุ้นผ่านตัวรับ toll-like receptor บนเซลล์ glia และเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันอื่น ๆ ที่ผ่าน blood-brain barrie ได้ สารสื่อการอักเสบชนิดต่าง ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมามีส่วนทำให้การรับความรู้สึกเจ็บปวดเพิ่มมากขึ้นได้ซึ่งเรียกว่า opioid-induced hyperalgesia การเกิดภาวะดื้อต่อยา opioids ทำให้มีการใช้ยาในขนาดที่สูงขึ้นจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดภาวะ opioid-induced hyperalgesia มากขึ้นไปอีกกลายเป็นวงจรที่มีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
แนวทางในการหลีกเลี่ยงการเกิดภาวะดื้อต่อยากลุ่ม opioids และการเกิด opioid-induced hyperalgesia
หลักการทั่วไปเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดภาวะดื้อต่อยาในกลุ่ม opioids และ opioid-induced hyperalgesia ได้แก่ การใช้ยาลดอาการปวดในขนาดน้อย ๆ และมีระยะเวลาในการใช้ไม่นาน โดยมีการหยุดพักการใช้ยาเป็นระยะ ๆ โดยอาจพิจารณาใช้ยาอื่นที่ออกฤทธิ์ต่างกันหรือใช้วิธีการอื่นในการลดอาการปวด เช่น การใช้ยากลุ่ม non-opioid analgesics หรือวิธี nerve block เป็นต้น เข้ามาร่วมด้วย
การหยุดพักการใช้ยาในแต่ละวัน (daily interruption) การหยุดพักการใช้ยาชนิดหยดเข้าทางหลอดเลือดดำเป็นระยะ ๆ มีข้อดีหลายประการ ได้แก่ ช่วยทำให้ผู้ป่วยตื่นมีสติดีขึ้น สามารถประเมินระดับความเจ็บปวดและระดับความรู้สึกตัวได้ง่าย และมีจำนวนวันของการต้องใช้เครื่องช่วยหายใจสั้นลงกว่าเดิม มีความเครียดวิตกกังวลน้อยลง โดยไม่ทำให้เกิดผลเสียด้านระบบหัวใจและหลอดเลือดหรือการผลการรักษา ดังนั้น ผู้ป่วยจึงควรได้รับการหยุดพักใช้ยาเป็นระยะ ๆ โดยเริ่มเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากนี้สำหรับในรายที่มีการใช้ยากลุ่ม opioids ร่วมกับกลุ่ม benzodiazepines ควรพิจารณาลดขนาดหรือหยุดยาในกลุ่ม benzodiazepines ด้วยเช่นกัน เนื่องจากจะช่วยลดโอกาสของการเกิดภาวะดื้อต่อยาและการเกิด delirium ได้
การรักษาอาการปวดแบบ neuraxial และ non-neuraxial การรักษาอาการปวดแบบ neuraxial analgesia เช่น thoracic หรือ lumbar epidural analgesia สามารถลดอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่สามารถลดขนาดยาที่ต้องใช้และโอกาสเกิดอาการข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น ความผิดปกติของระบบการหายใจ การต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเป็นเวลานาน อาการท้องผูกเนื่องจากลำไส้มีการเคลื่อนไหวลดลง หรือแม้แต่ภาวะดื้อต่อยา opioids ลงได้ ข้อบ่งชี้ของการลดอาการปวดด้วยวิธีนี้ ได้แก่ ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดช่องท้องส่วนบน การบาดเจ็บที่ผนังทรวงอกหรือผู้ป่วยที่มีภาวะปอดฟกช้ำ (lung contusion) เป็นต้น ส่วนการรักษาแบบ non-neuraxial analgesia ได้แก่ การทำ paravertebral block ในผู้ป่วยที่หลังการผ่าตัด thoracotomy หรือผู้ป่วยที่มีภาวะซี่โครงหัก และการทำ transversus abdominis block สำหรับการผ่าตัดช่องท้องส่วนล่าง เป็นต้น การบรรเทาอาการปวดเหล่านี้สามารถทำได้อย่างปลอดภัยในผู้ป่วยที่อยู่ใน ICU แม้ในรายที่จำเป็นต้องใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด โดยอาศัยการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasonography) เข้ามาช่วยในการระบุตำแหน่งที่เหมาะสม
การรักษาร่วมกันแบบหลากหลายวิธี (mutimodal analgesia) การรักษาด้วยวิธีการนี้เป็นการใช้ยาที่ไม่ใช่ยาในกลุ่ม opioids หลาย ๆ ชนิดร่วมกัน โดยแต่ละชนิดมีกลไกการออกฤทธิ์ในกระบวนการนำความรู้สึกเจ็บปวดที่ต่างกัน การใช้ยาร่วมกันสามารถช่วยเสริมฤทธิ์ซึ่งกันและกันได้ และช่วยลดปัญหาที่เกิดจากยา opioids ได้ดี ยาที่นิยมใช้ในการรักษาวิธีนี้ ได้แก่ ketamine, clonidine, dexmedetomidine และยาในกลุ่ม gabapentinoids เช่น gabapentin และ pregabalin สำหรับยา ketamine เป็นยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งตัวรับชนิด NMDA receptors ดังที่กล่าวข้างต้นแล้วว่า NMDA มีบทบาทที่สำคัญของการเกิดภาวะดื้อต่อยา opioids ดังนั้น ketamine จึงเป็นยาที่สามารถช่วยป้องกันและลดภาวะนี้ลงได้เป็นอย่างดี ยา clonidine และ dexmedetomidine เป็นยาในกลุ่ม α2-adrenergic agonist ที่มีฤทธิ์ลดอาการปวดร่วมกับทำให้เกิดอาการง่วงซึม สามารถนำมาใช้ในการป้องกันภาวะดื้อต่อยา opioids รวมถึงอาการ withdrawal ในขณะที่หยุดใช้ยา opioids ได้ โดยยา dexmedetomidine นั้นมีความแรงมากกว่า clonidine และมีค่า half-life สั้นกว่าจึงทำให้สามารถปรับขนาดยาได้ง่ายกว่า ส่วนยา gabapentin และ pregabalin นั้นเป็นยาที่เหมาะจะนำมาใช้ร่วมกับยาอื่น ๆ เพื่อเป็นการเสริมฤทธิ์ในแง่ของการลดอาการปวด อาการข้างเคียงที่พบได้บ่อย ได้แก่ อาการง่วง คลื่นไส้ มึนงง และหากใช้ร่วมกับยากลุ่ม opioids อาจทำให้ฤทธิ์ของยา opioid ในแง่การกดหายใจเพิ่มมากขึ้นได้
การรักษาด้วยยาอื่น ๆ ยา acetaminophen (paracetamol) เป็นยาที่มีฤทธิ์ลดอาการปวดค่อนข้างอ่อน แต่สามารถนำมาใช้เสริมกับการลดอาการปวดด้วยวิธีอื่น ๆ ได้ เนื่องจากเป็นยาที่ออกฤทธิ์ต้านการสร้างสาร prostaglandins ในสมอง ส่วนยาอื่น ๆ ในกลุ่ม non-steroidal anti-inflammatory drugs (NSAIDs) เช่น ibuprofen โดยมากมักจะไม่ได้นำมาใช้ในผู้ป่วยที่รักษาตัวใน ICU เนื่องจากมีอาการข้างเคียงที่ค่อนข้างรุนแรง
ทิศทางในอนาคตในแง่ของการป้องกันและรักษาภาวะดื้อต่อยากลุ่ม Opioids
ยากลุ่ม cannabinoids ปัจจุบันมีข้อมูลชัดเจนว่ายาในกลุ่ม endocannabinoids สามารถช่วยลดความเครียดวิตกกังวลและลดอาการปวดลงได้ดี แต่การนำมาใช้ในแง่ของการลดอาการปวดในภาวะ stress-induced hyperalgesia เพื่อเลี่ยงการใช้ยากลุ่ม opioids ในผู้ป่วยภาวะวิกฤตินั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด และยังต้องมีการศึกษาต่อไปในแง่ของการเปลี่ยนแปลงกระบวนการอักเสบ การเสริมฤทธิ์กับยากลุ่ม opioids และโอกาสในการทำให้เกิดการเสพติดจากยาชนิดนี้
ยา buprenorphine โดยใช้หรือไม่ใช้ร่วมกับ naloxone และ methadone ปัจจุบันยา buprenorphine เป็นยาในกลุ่ม opioids ที่ถูกนำมาใช้ทดแทนยาเสพติดในผู้ป่วยที่มีปัญหาติดยาและในการรักษาอาการปวดเรื้อรัง ยานี้มีข้อดีที่สำคัญคือ สามารถลดอาการที่เกิดจากภาวะ opioid-induce hyperalgesia ได้ดี ข้อมูลเกี่ยวกับการนำมาใช้ในผู้ป่วยภาวะวิกฤติยังไม่ชัดเจนและยังต้องรอคอยข้อมูลจากการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป สำหรับยา methadone ซึ่งเป็นยาที่ใช้แทนยาเสพติดเช่นเดียวกันนั้น ปัจจุบันยังไม่ได้มีการนำมาใช้ในผู้ป่วยกลุ่มนี้เนื่องจากเป็นที่ทราบว่ายา methadone ในปัจจุบันอยู่ในรูปของ racemic mxture ซึ่งประกอบด้วยสารที่มีโครงสร้าง 2 แบบ คือ l-methadone และ d-methadone ซึ่งทั้ง 2 ชนิดนี้มีความแรงและการเปลี่ยนแปลงทางด้านเภสัชวิทยาแตกต่างกัน ทำให้ค่า half-life ของยารวมถึงโอกาสในการเกิดอาการข้างเคียง เช่น QT prolongation และความเป็นพิษต่อหัวใจนั้นคาดคะเนได้ยาก
สรุป
ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะวิกฤติเป็นผู้ป่วยที่มีความผิดปกติหลายอย่างที่ทำให้มีความจำเป็นต้องใช้ยาในกลุ่ม opioids เพื่อบรรเทาอาการปวด อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบกันมากขึ้นในปัจจุบันว่ายากลุ่มนี้อาจทำให้เกิดผลเสียและภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญต่าง ๆ ขึ้นได้หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ได้แก่ ภาวะดื้อต่อยาและการเกิด opioid-induced hyperalgesia ดังนั้น การพิจารณาให้ยาในลักษณะที่จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดผลเสีย เช่น การหยุดให้ยาเป็นระยะ ๆ หรือการใช้ยาและวิธีการลดอาการปวดอื่น ๆ ทดแทนจะช่วยลดโอกาสของการดื้อต่อยาและอาการข้างเคียงต่าง ๆ ที่เกิดจากยาลงได้
References