ก้าวแรกสู่ความสำเร็จ “การรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวด้วยเซลล์นักฆ่า”
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย มุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องที่จะพัฒนาวิธีดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งแบบครบวงจร และกำลังจะดำเนินการโครงการก่อสร้างศูนย์บูรณาการวิจัยและรักษาโรคมะเร็งของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เพื่อมุ่งเน้นการวิจัยนวัตกรรมที่สามารถเป็นต้นแบบในการดูแลรักษาโรคมะเร็งควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการรักษาผู้ป่วย เนื่องจากโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งในประเทศไทยนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 จนถึงปัจจุบัน ดังนั้น ยุทธศาสตร์ด้านโรคมะเร็งจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อความก้าวหน้าของประเทศ
ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวถึงแผนและวิสัยทัศน์ของคณะแพทยศาสตร์และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็งว่า หนึ่งในโครงการมุ่งเป้าคือ การวิจัยพัฒนาการรักษามะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดหลายรูปแบบเพื่อที่จะนำไปต่อยอดไปสู่การบริการ เพื่อให้ผู้ป่วยชาวไทยสามารถเข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพได้อย่างทัดเทียมเช่นเดียวกับนานาชาติที่พัฒนาแล้ว และหนึ่งในโครงการวิจัยที่กำลังดำเนินการอยู่คือ การพัฒนาการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวด้วยเซลล์บำบัด ภายใต้การดำเนินงานของศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัด
อย่างไรก็ดี กระบวนการพัฒนายาและเซลล์ต้นแบบมีขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อน จึงจำเป็นต้องทำในสถาบันที่มีความพร้อมและมีมาตรฐานเชื่อถือได้เท่านั้น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์จึงได้เตรียมความพร้อมโดยมีการสร้างห้องปฏิบัติการปลอดเชื้อพิเศษที่สามารถผลิตเซลล์ที่ได้มาตรฐาน รวมถึงพัฒนาบุคลากรและระบบที่มีคุณภาพในด้านการผลิต ซึ่งในขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการขอรับรองตามมาตรฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ดร.ศิรศักดิ์ เทพาคำ รองผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวถึงนโยบายและความมุ่งหวังในการสนับสนุนงานวิจัยสู่การให้บริการทางการแพทย์ว่า ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ หรือ TCELS เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้รับมอบนโยบายให้ผลักดันสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยีเซลล์บำบัดและยีนบำบัด โดยจัดตั้งเป็นโครงการพิเศษตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 ซึ่งในปัจจุบันเป็น 1 ใน 4 โปรแกรมหลักของ TCELS ในการขับเคลื่อนงานวิจัยสู่ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมและการให้บริการทางการแพทย์ โดย TCELS ได้สนับสนุนงบประมาณในการขับเคลื่อนงานวิจัยด้านเซลล์บำบัดและยีนบำบัดอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 เพราะ TCELS เล็งเห็นถึงศักยภาพ ขีดความสามารถ และความพร้อมของนักวิจัยภายในประเทศ แต่ขาดโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ และ Ecosystem ที่เอื้อต่อการขับเคลื่อนงานวิจัยด้านเทคโนโลยีเซลล์บำบัดและยีนบำบัดสู่การให้บริการทางการแพทย์ให้สามารถก้าวทันตามเทคโนโลยีของโลก
TCELS มีเป้าหมายให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และการรับรองวิธีการรักษาใหม่สำหรับโรคที่ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดด้วยวิธีการปัจจุบัน จึงมุ่งเน้นการสนับสนุนและผลักดันงานหลัก ๆ 3 ส่วน คือ 1. โครงสร้างพื้นฐานด้านสถานที่ผลิตสอดคล้องตามมาตรฐาน GMP และความพร้อมทางเทคโนโลยีในประเทศ 2. ส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาในกลุ่มโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน โดยการสนับสนุนให้เกิดการสร้าง Prototype, Prove of concept ตลอดจนการทดสอบความปลอดภัยและประสิทธิภาพในระดับก่อนคลินิกและในระดับคลินิก และ 3. สนับสนุน ส่งเสริมให้ผลิตภัณฑ์เข้าสู่ธุรกิจอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์และบริการ เน้นการสร้าง Ecosystem เช่น การสนับสนุน อย. ในการจัดทำ “แนวทางการขึ้นทะเบียนตำรับยาที่เป็นผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูงชนิดผลิตภัณฑ์เซลล์บำบัด”
นอกจากให้ความสำคัญด้านโครงสร้างพื้นฐานและสร้าง ecosystem แล้ว TCELS ยังเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำ “Mapping การวิจัยและ Roadmap การวิจัย และการให้บริการทางการแพทย์ด้านเซลล์บำบัดและยีนบำบัดในประเทศไทย” และสนับสนุนโครงการวิจัยที่สำคัญทางด้านนี้ของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับรักษาในกลุ่มโรคมะเร็งที่ผู้ป่วยมีโอกาสเป็นซ้ำและเสียชีวิต เช่น “โครงการพัฒนาการรักษาโดยเซลล์ Natural killer ในโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่มีความเสี่ยงสูง” ซึ่งได้ให้ความสำคัญและสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 6
อ.นพ.กรมิษฐ์ ศุภพิพัฒน์ หัวหน้ากลุ่มวิจัยเซลล์บำบัดมะเร็ง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงการวิจัยและการพัฒนาวิธีการรักษามะเร็งด้วยเซลล์นักฆ่าว่า Natural Killer cell หรือเซลล์นักฆ่า เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ซึ่งเซลล์ชนิดนี้เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวส่วนน้อยของเม็ดเลือดขาวทั้งหมด โดยจะมีอยู่ประมาณ 5-10% ของเม็ดเลือดขาวที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย โดยทั่วไปเซลล์นักฆ่าจะมีหน้าที่หลักคือ การลาดตระเวนและตรวจตราหาเซลล์แปลกปลอม เซลล์ที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม หรือเซลล์ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงจนอาจก่อให้เกิดอันตรายภายในร่างกาย เมื่อเซลล์นักฆ่าตรวจสอบพบเซลล์ที่มีความเปลี่ยนแปลงหรือกลายพันธุ์ไปซึ่งมักเกิดจากการติดเชื้อหรือกระบวนการเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นเซลล์มะเร็งนั้น เซลล์นักฆ่าจะทำลายเซลล์ผิดปกติดังกล่าวก่อนที่เซลล์เหล่านั้นจะก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายหรือพัฒนาไปสู่การเป็นโรคมะเร็ง
ด้วยความสามารถพิเศษของเซลล์นักฆ่าที่สามารถทำลายเซลล์แปลกปลอมและเซลล์ที่ผิดปกติได้โดยไม่ต้องอาศัยการเรียนรู้แบบเม็ดเลือดขาวชนิดอื่น ๆ จึงทำให้นักวิทยาศาสตร์เกิดความสนใจและพยายามศึกษาวิจัยในการนำเซลล์นักฆ่ามาใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง ต่อมานักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่าเราสามารถกระตุ้นและเพิ่มจำนวนเซลล์นักฆ่าภายนอกร่างกายได้ และเซลล์นักฆ่าที่ถูกกระตุ้นและเพิ่มจำนวนภายนอกร่างกายนั้นมีประสิทธิภาพในการทำลายเซลล์มะเร็งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในมะเร็งหลาย ๆ ชนิด ทั้งมะเร็งก้อนและมะเร็งทางโลหิตวิทยา ทั้งในการศึกษาระดับหลอดทดลองและในสัตว์ทดลอง การค้นพบดังกล่าวจึงทำให้เริ่มมีการศึกษาวิจัยการรักษามะเร็งด้วยเซลล์นักฆ่าในผู้ป่วยมะเร็งที่มีโรคกลับเป็นซ้ำหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษามาตรฐาน
เนื่องจากโดยปกติเซลล์นักฆ่ามีจำนวนน้อยมากในเลือด การจะนำเซลล์นักฆ่ามาใช้ในการรักษาผู้ป่วยนั้นจำเป็นจะต้องนำเซลล์นักฆ่าออกมากระตุ้นและเพิ่มจำนวนเสียก่อน โดยจะมีขั้นตอนโดยสังเขปดังนี้ กล่าวคือ 1. ทำการเจาะเก็บตัวอย่างเลือดจากผู้ป่วยหรือผู้บริจาค 2. ปั่นแยกเซลล์เม็ดเลือดขาวออกจากเลือด 3. คัดแยกเซลล์นักฆ่าออกจากเม็ดเลือดขาว 4. ทำการกระตุ้นและเพิ่มจำนวนเซลล์นักฆ่าด้วยอาหารเลี้ยงเซลล์ชนิดพิเศษและโปรตีนไซโตไคน์เป็นเวลา 2-3 อาทิตย์ 5. ตรวจสอบคุณภาพของเซลล์นักฆ่าที่ได้ในเชิงปริมาณ คุณภาพ ปลอดจากการปนเปื้อนและปลอดจากเชื้อโรค 6. นำเซลล์นักฆ่าประสิทธิภาพสูงที่ได้กลับไปให้แก่ผู้ป่วย โดยกระบวนการกระตุ้นและเพิ่มจำนวนทั้งหมดนี้จะทำอยู่ภายในห้องปฏิบัติการสะอาดปลอดเชื้อพิเศษ (Clean room) ในแบบที่คล้ายกับการผลิตยา
อย่างไรก็ดี จากการศึกษาวิจัยการรักษาโรคมะเร็งด้วยเซลล์นักฆ่าในระดับการวิจัยทางคลินิกในผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มีโรคกลับเป็นซ้ำหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษามาตรฐานนั้น กลับพบว่าประสิทธิภาพของการรักษามะเร็งด้วยเซลล์นักฆ่าในกลุ่มโรคมะเร็งก้อนทั้งหมดนั้นยังไม่ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ แต่พบว่าการรักษามะเร็งด้วยเซลล์นักฆ่านั้นมีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมโรคและป้องกันโรคกลับเป็นซ้ำในมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดมัยอิลอยด์ โดยเฉพาะการใช้เซลล์นักฆ่าจากพ่อแม่ พี่น้อง หรือลูกที่มีสารพันธุกรรมตรงกันเพียงครึ่งเดียว
สำหรับทางโครงการได้เริ่มวิจัยและพัฒนาการรักษาเซลล์บำบัดมะเร็งด้วยเซลล์นักฆ่า ตั้งแต่การทดสอบประสิทธิภาพในหลอดทดลอง การทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยในสัตว์ทดลอง การปรับปรุงกระบวนการผลิตและควบคุมคุณภาพของเซลล์นักฆ่าที่นำมาใช้ในผู้ป่วย รวมถึงการพัฒนาห้องปฏิบัติการพิเศษเพื่อผลิตเซลล์สำหรับการวิจัยด้านเซลล์บำบัดสำหรับโรคมะเร็ง ซึ่งในปี พ.ศ. 2561 ศูนย์ภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง และสาขาโลหิตวิทยา ฝ่ายอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้เริ่มโครงการนำร่องเพื่อศึกษาการรักษาผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่มีความเสี่ยงสูงด้วยเซลล์นักฆ่า โดยได้รับทุนวิจัยและการสนับสนุนเพิ่มเติมจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ คณะแพทยศาสตร์ และกองทุนภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็งจุฬาฯ ซึ่งโครงการนำร่องนี้มีจุดประสงค์หลัก 2 ข้อ คือ 1. เพื่อประเมินความพร้อมของบุคลากร ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้มีหน้าที่ผลิตเซลล์ ทีมแพทย์และพยาบาล ความพร้อมของห้องปฏิบัติการและเทคโนโลยีสำหรับการเตรียมผลิตเซลล์ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย เพื่อรองรับการให้บริการแก่ผู้ป่วยชาวไทย 2. เพื่อประเมินความปลอดภัยของการรักษาผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวชาวไทยด้วยเซลล์นักฆ่าจากผู้บริจาค
ปัจจุบันมีผู้ป่วยร่วมโครงการอยู่ 5 ราย ซึ่งเป็นผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลันชนิดมัยอิลอยด์ที่มีความเสี่ยงสูง โดยผู้ป่วยทั้ง 5 รายในโครงการนี้ได้รับการรักษาด้วยเซลล์นักฆ่าจากผู้บริจาคทั้งหมด ซึ่งนักวิจัยประสบความสำเร็จในการกระตุ้นและเพิ่มจำนวนเซลล์นักฆ่าจากผู้บริจาคให้มีปริมาณและคุณภาพที่ได้มาตรฐานสำหรับการใช้เซลล์จริงในผู้ป่วย ได้แก่ 1. สามารถเพิ่มจำนวนเซลล์นักฆ่าขึ้นมาได้ในระดับที่เพียงพอสำหรับการใช้ในผู้ป่วย 2. เซลล์นักฆ่าที่ได้ไม่มีเซลล์อื่น ๆ ปนเปื้อนเกินมาตรฐาน 3. ตัวอย่างทั้งหมดสามารถผ่านมาตรฐานการตรวจควบคุมคุณภาพสำหรับเซลล์ที่จะนำไปใช้ในผู้ป่วย ทั้งในด้านจำนวนเซลล์ สัดส่วนเซลล์มีชีวิต ความสามารถในการทำลายเซลล์มะเร็ง การไม่พบจุลชีพปนเปื้อน และไม่พบการปลอมปนของ endotoxin (พิษจากเชื้อแบคทีเรีย) โดยในปี พ.ศ. 2562 นี้ทางโครงการมีความตั้งใจจะเริ่มดำเนินโครงการต่อเนื่องเพื่อศึกษาประสิทธิภาพของการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวที่มีความเสี่ยงสูงด้วยเซลล์นักฆ่าในลำดับต่อไป
ผศ.นพ.อุดมศักดิ์ บุญวรเศรษฐ์ หัวหน้าสาขาวิชาโลหิตวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงตัวอย่างการรักษาผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวด้วยเซลล์นักฆ่าและข้อควรระวังสำหรับประชาชนเกี่ยวกับการรักษาด้วยเซลล์นักฆ่าว่า โครงการนำร่องเพื่อศึกษาการรักษาผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่มีความเสี่ยงสูงด้วยเซลล์นักฆ่าในปี พ.ศ. 2561 นี้มีผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลันชนิดมัยอิลอยด์ร่วมโครงการทั้งสิ้นจำนวน 5 ราย โดยเป็นผู้ป่วยที่มีโรคกลับเป็นซ้ำและไม่ตอบสนองต่อการรักษามาตรฐาน หรือเป็นผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงที่จะมีโรคกลับเป็นซ้ำแต่ไม่สามารถรักษาด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูกได้
มะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลันชนิดมัยอิลอยด์เป็น 1 ใน 4 ชนิดของมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญในประเทศไทย โดยเป็นมะเร็งที่พบบ่อยเป็นหนึ่งใน 10 อันดับแรกของโรคมะเร็งในผู้ป่วยชาวไทย มะเร็งเม็ดเลือดขาวสามารถแบ่งเป็น 4 ชนิด โดยแบ่งเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลัน และ มะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเรื้อรัง และแบ่งย่อยตามชนิดของเซลล์ออกเป็น ชนิดลิมฟอยด์ และชนิดมัยอิลอยด์ ซึ่งมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดมัยอิลอยด์เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลันที่พบบ่อยที่สุดในผู้ใหญ่ โดยการรักษามาตรฐานจะประกอบไปด้วยการให้ยาเคมีบำบัด และการปลูกถ่ายไขกระดูกในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงที่โรคกลับเป็นซ้ำซึ่งสามารถทำให้ผู้ป่วยหายขาดได้
อย่างไรก็ตาม จะมีผู้ป่วยส่วนหนึ่งที่มีโรคกลับเป็นซ้ำหลังจากการปลูกถ่ายไขกระดูก และไม่มีทางเลือกอื่น ๆ ในการรักษา ซึ่งโอกาสที่จะมีชีวิตรอดเกิน 1 ปีหลังจากที่มีโรคกลับมาเป็นซ้ำนั้นน้อยมากจนแทบจะไม่มีเลย จึงมีการวิจัยและพัฒนาการรักษาผู้ป่วยในกลุ่มนี้ด้วยเซลล์ภูมิคุ้มกันบำบัด โดยการวิจัยทางคลินิกของการรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้ในต่างประเทศหลายการวิจัยพบว่า การรักษาด้วยเซลล์นักฆ่ามีประสิทธิภาพในการควบคุมโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลันชนิดมัยอิลอยด์ อย่างไรก็ดี การใช้เซลล์นักฆ่าจากตัวผู้ป่วยเองนั้นมีประสิทธิภาพในการควบคุมโรคค่อนข้างต่ำ ตรงข้ามกับการใช้เซลล์นักฆ่าจากผู้บริจาคซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมโรค โดยมีโอกาสควบคุมโรคได้ถึง 40-80% และยังช่วยลดโอกาสการกลับเป็นซ้ำในผู้ป่วยกลุ่มนี้
สำหรับโครงการนำร่องมีขั้นตอนในการศึกษาความปลอดภัยของการรักษาด้วยเซลล์นักฆ่า เริ่มต้นจากการเจาะเลือดผู้บริจาคแล้วนำไปแยกเซลล์นักฆ่าและนำไปกระตุ้นเพิ่มจำนวนในห้องปฏิบัติการเป็นเวลา 2 อาทิตย์ จากนั้นผู้ป่วยจะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแบบผู้ป่วยในโดยจะได้รับยากดภูมิคุ้มกันก่อนเป็นเวลา 3-6 วัน จากนั้นจึงจะนำเซลล์นักฆ่าที่ถูกกระตุ้นและเพิ่มจำนวนมาฉีดเข้าในหลอดเลือดดำหลังจากหยุดยากดภูมิไป 1-2 วัน โดยในผู้ป่วยบางรายมีความจำเป็นต้องได้รับยากระตุ้นเซลล์นักฆ่าหลังจากได้รับเซลล์ ซึ่งหลังจากได้รับเซลล์แล้วผู้ป่วยจำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลต่อเพื่อเฝ้าดูอาการอย่างน้อย 24 ชั่วโมง หากไม่พบผลข้างเคียงใด ๆ จึงสามารถกลับบ้านได้ และมาตรวจติดตามแบบผู้ป่วยนอก
ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลันชนิดมัยอิลอยด์รายแรกที่เข้าร่วมโครงการเป็นผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 52 ปี ซึ่งได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวในปี พ.ศ. 2560 โดยที่ผู้ป่วยรายนี้ได้รับยาเคมีบำบัดถึง 3 สูตรยาที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ยังไม่สามารถควบคุมโรคได้ดีเท่าที่ควร กล่าวคือ ในไขกระดูกของผู้ป่วยนั้นยังมีเซลล์มะเร็งหลงเหลืออยู่หลังจากการให้ยาเคมีบำบัดรอบที่ 3 ทีมแพทย์ผู้รักษาจึงตัดสินใจทำการปลูกถ่ายไขกระดูกจากพี่สาวเพื่อเพิ่มโอกาสในการควบคุมโรค อย่างไรก็ดี 3 เดือนหลังจากการปลูกถ่ายไขกระดูกนั้น ผู้ป่วยกลับมาด้วยอาการเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือดต่ำ และได้รับการวินิจฉัยยืนยันว่ามีโรคมะเร็งกลับเป็นซ้ำหลังจากปลูกถ่ายไขกระดูก ทีมแพทย์ผู้รักษาประเมินจากลักษณะการกลับเป็นซ้ำแล้วผู้ป่วยมีโอกาสการตอบสนองต่อการรักษามาตรฐานต่ำมาก จึงเสนอให้ผู้ป่วยเข้าร่วมโครงการนำร่องโดยใช้เซลล์นักฆ่าจากพี่สาวซึ่งผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวรายดังกล่าวได้รับเซลล์นักฆ่าและหยุดการรักษามาเป็นเวลาประมาณ 1 ปีโดยที่ไม่มีอาการและอาการแสดงของโรคกลับเป็นซ้ำ โดยที่ผู้ป่วยรายแรกนี้มีอาการเซลล์ต่อต้านแบบเรื้อรังในระดับที่ไม่รุนแรงในบริเวณเยื่อบุช่องปาก ซึ่งสามารถควบคุมอาการได้ด้วยการใช้ยากดภูมิชนิดบ้วนปากเท่านั้น
ปัจจุบันโครงการนำร่องของการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวที่มีความเสี่ยงสูงด้วยเซลล์นักฆ่านั้นยังมีผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลันชนิดมัยอิลอยด์ที่มีความเสี่ยงสูงอยู่ในโครงการอยู่อีก 4 ราย โดยเป้าหมายของการให้เซลล์นักฆ่านั้นมีทั้งเพื่อการรักษาโรคที่กลับซ้ำและเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำของโรค โดยผู้ป่วยทั้งหมดมีระยะปลอดจากโรคหลังจากหยุดรักษาไปแล้วตั้งแต่ 2 เดือน-1 ปี จากการประเมินความปลอดภัยเบื้องต้นเห็นได้ว่าการรักษาด้วยเซลล์นักฆ่าในผู้ป่วยกลุ่มนี้มีความปลอดภัย แต่ต้องอยู่ในการดูแลของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญต่อไป
การดำเนินโครงการนี้จึงถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญของการศึกษาการรักษาด้วยเซลล์นักฆ่าในผู้ป่วยชาวไทย ทางโครงการมีความมุ่งหวังจะดำเนินโครงการต่อเนื่องเพื่อประเมินประสิทธิภาพของการรักษานี้ในผู้ป่วยชาวไทยต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในช่วงระยะ 1-2 ปีที่ผ่านมานี้มีการโฆษณาชวนเชื่อ การอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง และมีการเสนอบริการด้านเซลล์บำบัดในการรักษาโรคต่าง ๆ ออกมาในสื่อต่าง ๆ รวมถึงโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ผู้ป่วยและญาติเกิดความเข้าใจผิดและคลาดเคลื่อน เกิดความคาดหวังที่สูงเกินความเป็นจริง รวมถึงมีการเสียทรัพย์สินไปกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์และรักษาด้วยสิ่งที่อ้างว่าเป็นเซลล์บำบัด ทำให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตหลังจากการได้รับการรักษาที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นจากทั่วโลกจึงจำเป็นต้องมีการให้ความรู้เพื่อสร้างความเข้าใจเบื้องต้นที่ถูกต้องเกี่ยวกับการรักษาด้วยเซลล์นักฆ่า ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายควบคุมในเรื่องนี้โดยเฉพาะ
อย่างไรก็ดี ในอนาคตอันใกล้ประเทศไทยจะมีพระราชบัญญัติเซลล์บำบัดเพื่อมาควบคุมมาตรฐานการรักษาด้วยเซลล์บำบัด และกำกับมาตรฐานห้องปฏิบัติการสำหรับผลิตเซลล์เพื่อมาใช้ในผู้ป่วย รวมถึงข้อบ่งชี้ในการใช้เซลล์บำบัดเฉพาะในโรคที่มีการรับรองประสิทธิภาพของการรักษา แต่ในขณะที่ยังไม่มีกฎหมายควบคุม ประชาชนควรรับทราบข้อพึงระวัง ได้แก่ 1. การรักษาด้วยเซลล์บำบัดอาจเกิดผลข้างเคียงจากเซลล์ที่ใส่กลับเข้าไปได้ โดยเฉพาะเซลล์ที่มีการปนเปื้อนจากการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐานอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตจากการแพ้อย่างรุนแรงหรือการติดเชื้ออย่างรุนแรง 2. เซลล์นักฆ่าไม่สามารถใช้ได้กับมะเร็งทุกชนิด จากข้อมูลการศึกษาวิจัยทางคลินิกในปัจจุบันพบว่าเซลล์นักฆ่ามีประสิทธิภาพในการควบคุมโรคไม่ค่อยดีในมะเร็งก้อนทุกชนิด ถึงแม้การรักษาผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดมัยอิลอยด์เอง การเลือกผู้ป่วยที่เหมาะสมก็มีความสำคัญต่อประสิทธิภาพในการควบคุมโรค 3. การวิจัยทางคลินิกหลายชิ้นสรุปตรงกันว่าเซลล์นักฆ่าที่ได้จากตัวผู้ป่วยเองมีประสิทธิภาพในการควบคุมโรคต่ำ 4. ในปัจจุบันยังมีการอวดอ้างสรรพคุณเกินจริงในการใช้เซลล์นักฆ่าในการช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ใช้ในการป้องกันการเกิดมะเร็ง ช่วยชะลอวัย ใช้ในการรักษาโรคเอดส์ หรือแม้แต่การใช้ในการเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งการอวดอ้างดังกล่าวไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใด ๆ รองรับทั้งสิ้น และ 5. การรักษาด้วยเซลล์นักฆ่านั้นยังไม่ใช่การรักษามาตรฐานของโรคมะเร็งชนิดใด ๆ ทั้งสิ้น ดังนั้น ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาตามมาตรฐานของโรคนั้น ๆ ให้เสร็จสิ้นเสียก่อนที่จะพิจารณาการรักษาด้วยเซลล์นักฆ่า นอกจากนี้ผู้ป่วยควรที่จะได้รับการรักษาภายใต้โครงการการศึกษาหรือการวิจัยทางคลินิกในโรงเรียนแพทย์เท่านั้นเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้ป่วยเอง เนื่องจากแพทย์ผู้รักษาต้องเป็นแพทย์ทางโลหิตวิทยาที่มีประสบการณ์ด้านการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดหรือการให้เซลล์ภูมิคุ้มกันเพื่อการเฝ้าระวังและแก้ไขผลข้างเคียงของการให้เซลล์ได้ทันท่วงที ก่อนการให้เซลล์นักฆ่าแก่ผู้ป่วยนั้นผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับยากดภูมิคุ้มกันเพื่อสร้างสภาวะที่เหมาะสมต่อการทำงานของเซลล์นักฆ่าที่ให้เข้าไปใหม่และป้องกันไม่ให้เซลล์ภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยรบกวนการทำงานของเซลล์นักฆ่าที่ได้รับเข้าไป และหลังจากการได้รับเซลล์แล้วผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับยาชนิดพิเศษเพื่อช่วยให้เซลล์นักฆ่าที่ได้รับเข้าไปสามารถเพิ่มจำนวนต่อไปได้ในตัวผู้ป่วยเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษา
อ.นพ.กรมิษฐ์ ศุภพิพัฒน์ หัวหน้ากลุ่มวิจัยเซลล์บำบัดมะเร็ง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงแผนการวิจัยต่อไปว่า สำหรับการเตรียมตัวสู่ก้าวต่อไป ในช่วงปีที่ผ่านมานี้ทางศูนย์ได้รับความอนุเคราะห์จากทางสำนักยา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ในการให้คำแนะนำในด้านการปรับปรุงห้องปฏิบัติการสะอาดพิเศษสำหรับการผลิตเซลล์เพื่อใช้กับผู้ป่วย รวมถึงกระบวนการควบคุมการผลิตเซลล์เพื่อใช้ในโรงพยาบาล ซึ่งในเบื้องต้นทางสำนักยาได้อนุมัติแบบแปลนสำหรับการปรับปรุงห้องปฏิบัติการดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางศูนย์กำลังดำเนินการปรับปรุงห้องปฏิบัติการดังกล่าวและกระบวนการควบคุมการผลิตเซลล์เพื่อการรับรองตามมาตรฐานการผลิตเซลล์สำหรับใช้ในผู้ป่วยภายในสถานพยาบาลสำหรับการดำเนินการวิจัยทางคลินิกด้านเซลล์บำบัดสำหรับโรคมะเร็ง และเตรียมพร้อมสำหรับการขึ้นทะเบียนการรักษากับ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาต่อไปในอนาคต
นอกจากการวิจัยและพัฒนาการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดมัยอิลอยด์ด้วยเซลล์นักฆ่าแล้ว ทางศูนย์ยังมีการวิจัยและพัฒนาการรักษามะเร็งด้วยเซลล์บำบัดชนิดอื่น ๆ อีก ได้แก่ ที-เซลล์ที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมให้จำเพาะต่อเซลล์มะเร็ง (Chimeric Antigen Receptor T-cell: CAR T-cell) สำหรับการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดลิมฟอยด์, ที-เซลล์ที่มีความจำเพาะต่อไวรัส (Virus specific T-cell) สำหรับการรักษาการติดเชื้อไวรัสภายหลังการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดและโรคมะเร็งหลังโพรงจมูก และวัคซีนมะเร็งจากเดนไดรติกเซลล์ (Dendritic cell vaccine) โดยจะนำความคืบหน้าของโครงการต่าง ๆ มาแจ้งในโอกาสต่อไป