ค่า INR ที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยชาวไทยที่มีภาวะ atrial fibrillation และได้รับยาวาร์ฟารินเพื่อป้องกันภาวะ stroke ควรมีค่าเท่าใด
โรคหลอดเลือดสมอง (stroke) เป็นสาเหตุของความพิการและเสียชีวิตที่ค่อนข้างสูงในประชากรทั่วโลกรวมถึงในประชากรไทย โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดสมองอุดตัน (ischemic stroke) ที่เกิดขึ้นหลังจากมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิด atrial fibrillation (AF) แนวทางการป้องกันการเกิดโรคดังกล่าววิธีหนึ่งคือ การใช้ยาวาร์ฟาริน ซึ่งแนวทางการรักษาต่าง ๆ ที่เป็นสากลรวมถึงแนวทางการรักษาของประเทศไทย กำหนดเป้าหมายการควบคุมค่า international normalized ratio (INR) คือ 2-3 อย่างไรก็ตาม ค่าดังกล่าวถูกกำหนดขึ้นโดยใช้ผลการศึกษาจากประชากรในกลุ่มประเทศตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ และถึงแม้ว่าจะมีรายงานการศึกษาในประชากรชาวเอเชียอยู่บ้าง เช่น ในประเทศญี่ปุ่นและประเทศจีน แต่ก็พบว่ากลุ่มประชากรจากประเทศเหล่านี้มีลักษณะบางประการที่แตกต่างจากประชากรไทย ดังนั้น จึงนำมาสู่คำถามทางคลินิกที่สำคัญว่า “เป้าหมายการควบคุมค่า INR ที่เหมาะสมสำหรับคนไทยเพื่อติดตามการป้องกันภาวะหลอดเลือดสมองอุดตันที่เกิดหลังจากมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิด AF ด้วยการใช้ยาวาร์ฟาริน ควรมีค่าเท่าใด” Methavigul และคณะ ได้ตีพิมพ์การศึกษาทางคลินิกลงในวารสาร J Med Assoc Thai ดำเนินการศึกษาแบบ retrospective study ในผู้ป่วยโรค AF ที่ได้รับการรักษาด้วยการใช้ยาวาร์ฟารินจากเวชระเบียนของโรงพยาบาลศิริราชจำนวน 230 ราย และวิเคราะห์หาช่วงเป้าหมายการควบคุมค่า INR ที่เหมาะสมที่สุดซึ่งจะไม่ทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะหลอดเลือดสมองอุดตันและไม่เกิดภาวะเลือดออกผิดปกติ ผลการศึกษาพบว่าการเกิดภาวะ ischemic stroke จะเกิดขึ้นน้อยเมื่อผู้ป่วยมี INR มากกว่าหรือเท่ากับ 1.5 และการเกิดภาวะเลือดออกผิดปกติโดยภาพรวม (ทั้ง major และ minor bleeding) จะเกิดขึ้นน้อยเมื่อผู้ป่วยมี INR น้อยกว่าหรือเท่ากับ 2.9 ดังนั้น การศึกษาครั้งนี้จึงสรุปผลได้ว่า เป้าหมายการควบคุมค่า INR ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยชาวไทยที่มีภาวะ atrial fibrillation และได้รับยาวาร์ฟารินเพื่อป้องกันภาวะ ischemic stroke คือ 1.5-2.9
ที่มา: Methavigul K, Boonyapisit W. Optimal INR level in Thai atrial fibrillation patients who were receiving warfarin for stroke prevention in Thailand. J Med Assoc Thai. 2014;97:1274-80.