ความก้าวหน้าในการพัฒนางานวิจัยภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง
ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม รองอธิการบดี กำกับดูแลด้านการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมด้วย ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต รองอธิการบดี กำกับดูแลด้านสื่อสารบริการสังคมและพันธกิจสากล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, ศ.ดร.นพ.วิโรจน์ ศรีอุฬารพงศ์ อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรศาสตร์โรคมะเร็ง ศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง, ศ.ดร.พญ.ณัฏฐิยา หิรัญกาญจน์ ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง, อ.นพ.ไตรรักษ์ พิสิษฐ์กุล หัวหน้ากลุ่มวิจัยพัฒนาแอนติบอดีเพื่อการรักษามะเร็ง ศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง และผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาเชิงระบบ, อ.นพ.กรมิษฐ์ ศุภพิพัฒน์ หัวหน้ากลุ่มวิจัยเซลล์บำบัดมะเร็ง ศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ดร.ยรรยง ไทยเจริญ กรรมการสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกันแถลงข่าว “ก้าวอีกขั้น! แพทย์จุฬาฯ พัฒนางานวิจัยภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง” การแถลงความก้าวหน้าของงานวิจัยการรักษาโรคมะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด พร้อมทั้งเชิญชวนร่วมกิจกรรมเดิน-วิ่ง การกุศล “CHULA CANCER RUN ก้าว...ทันมะเร็ง” เพื่อหารายได้สมทบทุน กองทุนภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง จุฬาฯ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2562 ณ สนามกีฬาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้สนใจสมัครได้ที่ https://race.thai.run/chulacancerrun นอกจากนี้จะมีกิจกรรม Virtual Run พร้อมกันทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2562 จนไปถึงวันมะเร็งโลกในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 เพื่อให้มีการออกกำลังกายต่อเนื่อง ติดตามได้ใน LINE: @chulacancerrun
ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การขับเคลื่อนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไปสู่ความเป็น “มหาวิทยาลัยแห่งชาติในระดับโลกที่สร้างสรรค์องค์ความรู้และนวัตกรรมเพื่อสร้างเสริมสังคมไทยสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” นั้น มหาวิทยาลัยต้องกล้าที่จะตอบโจทย์ที่ยากและท้าทายอย่างมากของสังคม โดยอาศัยคนเก่งที่มีมากมายทุกศาสตร์มาร่วมคิดและร่วมทำโครงการวิจัยและนวัตกรรมที่ท้าทายด้วยกันอย่างมุ่งเป้า เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ดังนั้น เพื่อให้การขับเคลื่อนงานที่ท้าทายเหล่านี้สามารถริเริ่มได้รวดเร็วทันการณ์ ทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้ใช้เงินจากรายได้ที่ได้จากการบริหารทรัพย์สินรายได้จากมาบุญครองตั้งเป็น “กองทุนศตวรรษที่ 2 เพื่อการก้าวกระโดดของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ในการสนับสนุนโครงการวิจัยขนาดใหญ่เพื่อตอบโจทย์ที่ท้าทายของสังคมอย่างจริงจังให้เกิดขึ้น โดยหวังว่าระยะยาวโครงการที่มีคุณภาพสูงเหล่านี้สามารถตอบโจทย์สังคมที่ท้าทายและยากมากได้อย่างแท้จริง และได้รับการสานต่อจากทางรัฐบาลและจากเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนจากประชาชนทั่วไปในที่สุด ตัวอย่างของโครงการขนาดใหญ่ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฉบับที่ 2 ได้แก่ โครงการจุฬาอารี เป็นการวิจัยนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์สังคมสูงวัย (Chula ARi: Aging Research Innovation), โครงการออกแบบเพื่อสังคม (Chula D4S, Design for Society) และโครงการ Cancer Cure เป็นต้น ซึ่งแต่ละโครงการจะเป็นการทำงานร่วมกันจากคนเก่งข้ามศาสตร์จากหลายคณะ เพื่อสร้างผลผลิตและผลกระทบที่มีคุณภาพสูงได้อย่างแท้จริง
โครงการแพทย์จุฬาฯ พัฒนางานวิจัยภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง หรือ Cancer Cure เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่สำคัญของกองทุนศตวรรษที่ 2 ที่ผนึกพลังจากหลายคณะและสถาบันทั้งในด้านแพทยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เภสัชศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ สังคมศาสตร์ เพื่อร่วมกันทำวิจัย การพัฒนาภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็งเพื่อแก้ปัญหามะเร็งที่พบเพิ่มขึ้นในสังคมสูงวัย และวัยต่าง ๆ นอกจากนี้จากผลงานเบื้องต้นของโครงการนี้ได้นำไปสู่การสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากประชาชนและสังคม ซึ่งเป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ผลงานเชิงประจักษ์ต่าง ๆ เหล่านี้จะมีออกมาเพื่อทำให้สังคมดีขึ้นอย่างจริงจังและต่อเนื่องในอนาคตต่อไป นอกจากนี้โครงการขนาดใหญ่เหล่านี้จะเป็นกลไกสำคัญในการผลิตคนเก่ง คนดี นักวิจัย แพทย์ นักวิทยาศาสตร์ที่มีจิตใจเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง และสามารถบรรลุตามเป้าหมายสำคัญของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ในที่สุด
ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวถึงความมุ่งมั่นของคณะแพทย์ และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ในการแก้ปัญหาโรคมะเร็งซึ่งเป็นสาเหตุในการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทยว่า ในปัจจุบันโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ประสบกับจำนวนผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ทางคณะแพทย์ และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์จึงมีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหานี้ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศ โดยในปีที่ผ่านมาได้มีการจัดตั้งศูนย์โปรตอนสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ รักษามะเร็งด้วยโปรตอนแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งได้มีพิธีนำเครื่องไซโคลตรอนที่ใช้ผลิตโปรตอนเข้าศูนย์โปรตอนสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ไปเรียบร้อยแล้ว และจะเปิดบริการให้แก่ประชาชนได้ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2563 นอกจากนี้ยังมีโครงการที่เกี่ยวข้องกับการรักษามะเร็งด้วยเทคโนโลยีใหม่ ได้แก่ โครงการรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด และโครงการเซลล์บำบัดด้วยเซลล์นักฆ่าเพื่อรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่รักษายาก เป็นต้น และยังให้การสนับสนุนศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันมะเร็งร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอย่างต่อเนื่องให้ทำวิจัยทั้งในด้านวิทยาศาสตร์พื้นฐานและการวิจัยทางคลินิก โดยมีเป้าหมายเพื่อนำไปสู่การรักษาจริงที่ให้ชาวไทยทุกระดับเข้าถึงได้ตามพันธกิจของสภากาชาดไทยโดยเร็วที่สุด ตัวอย่างหนึ่งที่เป็นรูปธรรมคือ การลงทุนสร้างและปรับปรุงห้องปฏิบัติการปลอดเชื้อพิเศษสำหรับการผลิตเซลล์เพื่อใช้ทางคลินิกที่ตึกภูมิสิริมังคลานุสรณ์ ชั้น 8 ตามแบบและข้อกำหนดซึ่งได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำหรับการผลิตเซลล์เพื่อทำการวิจัยทางคลินิกและให้บริการภายในสถาบัน และทางศูนย์ฯ ได้เริ่มทำการปรับปรุงกระบวนการผลิต และการควบคุมคุณภาพของการผลิตเซลล์ตามมาตรฐานที่ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยากำหนด เพื่อรองรับการรับรองมาตรฐาน Good Production Practice และ Good Manufacturing Practice ซึ่งเป็นมาตรฐานที่เหมาะสมในการนำไปใช้รักษาผู้ป่วยทางคลินิกและภายนอกสถาบันต่อไปในอนาคตอันใกล้
นอกจากนี้ยังมีแผนการขยายเพื่อให้มีการบริการได้เพียงพอ โดยมีการสร้างห้องปลอดเชื้อพิเศษ อีกทั้งเพื่อการผลิตเซลล์และวัคซีนเฉพาะบุคคลต่อมะเร็งเพิ่มเติมในตึกบูรณาการวิจัยใหม่ร่วมกับตึกรักษาพยาบาลที่เน้นการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งอย่างครบวงจร รวมกันเป็น “ศูนย์บูรณาการวิจัยและรักษาโรคมะเร็งของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย” โดยคาดว่าจะเสร็จในปี พ.ศ. 2566
รศ.ดร.นพ.วิโรจน์ ศรีอุฬารพงศ์ อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรศาสตร์โรคมะเร็ง ศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง กล่าวว่า ในปัจจุบันมีความก้าวหน้าของการรักษาโรคมะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดอย่างรวดเร็ว ยาภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็งที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้รักษาผู้ป่วยมะเร็งโดยองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา ยุโรป และอีกหลายประเทศทั่วโลก เป็นแอนติบอดีที่ปลดล็อกสิ่งที่เซลล์มะเร็งสร้างขึ้นเพื่อป้องกันตัวเอง ทำให้ภูมิคุ้มกันต้านมะเร็งของผู้ป่วยกลับมาทำงานต่อสู้กับมะเร็งได้ ขณะนี้มีข้อบ่งชี้ในการรักษามะเร็งมากถึง 21 ชนิด โดยมีทั้งที่ให้เป็นการรักษาเป็นยาเดี่ยวหรือให้ร่วมกับยาหรือการรักษาอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา ทำให้มีผลเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งหลายชนิดได้ยาวนานขึ้น ลดการกลับมาเป็นซ้ำของมะเร็งบางชนิด นอกจากยาที่ปลดล็อกระบบภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง ยังมีความพยายามพัฒนานวัตกรรมการรักษามะเร็งด้วยการใช้วัคซีนกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันเพื่อบำบัดมะเร็งอีกด้วย โดยออกแบบและสร้างวัคซีนที่จำเพาะกับโปรตีนของเซลล์มะเร็ง แล้วนำมาให้ผู้ป่วยมะเร็งเพื่อให้ผู้ป่วยสร้างภูมิต้านทานมะเร็งต่อโปรตีนแปลกปลอมบนเซลล์มะเร็ง ทำให้มีการทำลายเซลล์มะเร็งด้วยระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยคล้ายกับการต่อสู้เชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกายผู้ป่วยโรคติดเชื้อ สำหรับงานวิจัยของเรามุ่งเน้นไปที่การพัฒนาวัคซีนเฉพาะผู้ป่วยมะเร็งแต่ละรายให้เหมาะสมกับความหลากหลายของมะเร็งในแต่ละบุคคล และมีแผนที่จะพัฒนาไปใช้ร่วมกับยาแอนติบอดีที่ปลดล็อกการต่อต้านระบบภูมิคุ้มกันของเซลล์มะเร็ง โดยมีขั้นตอนการทำงานหลัก ๆ 3 ขั้นตอน ดังนี้
• ขั้นที่ 1: นำเนื้อเยื่อมะเร็งจากผู้ป่วยแต่ละรายมาตรวจหาโปรตีนของเซลล์มะเร็งที่มีการกลายพันธุ์เพื่อหาโปรตีนที่เป็นเป้าหมายเฉพาะของมะเร็งในผู้ป่วยแต่ละราย
• ขั้นที่ 2: ผลิตวัคซีนเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนที่เป็นเป้าหมาย “เฉพาะบุคคล” เพื่อให้มีผลในการรักษาเฉพาะผู้ป่วยรายนั้น ๆ อย่างเหมาะสมที่สุด
• ขั้นที่ 3: นำวัคซีนฉีดกลับเข้าสู่ร่างกายผู้ป่วย และติดตามผลการรักษามะเร็ง
ในปีที่ผ่านมาเราได้ทำวิจัยขั้นตอนที่ 1 และ 2 ได้สำเร็จแล้ว ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนพิจารณาจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อเริ่มวิจัยทางคลินิกในขั้นตอนที่ 3 ตามข้อกำหนดในการใช้วัคซีน
อ.นพ.กรมิษฐ์ ศุภพิพัฒน์ หัวหน้ากลุ่มวิจัยเซลล์บำบัดมะเร็ง ศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง กล่าวถึงภารกิจของกลุ่มวิจัยภูมิคุ้มกันด้านเซลล์บำบัด (Cancer Cellular Immunotherapy) โดยพันธกิจของศูนย์ฯ มุ่งเน้นไปยังงานวิจัย 2 เรื่อง คือ
1. การพัฒนา NK cell (Natural Killer cell หรือเซลล์นักฆ่า ในระหว่างปี พ.ศ. 2561-2562 ทางศูนย์ฯ ได้ดำเนินโครงการนำร่องเพื่อศึกษาความเป็นไปได้และความปลอดภัยของการรักษาผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดมัยอิลอยส์ที่ความเสี่ยงสูงด้วยเซลล์นักฆ่าจากผู้บริจาคแก่ผู้ป่วยจำนวน 10 ราย จากการดำเนินโครงการนำร่อง ทางศูนย์ฯ ประสบความสำเร็จในการผลิตเซลล์นักฆ่าจากผู้บริจาคให้มีจำนวน คุณภาพ และความปลอดภัย ผ่านเกณท์มาตรฐานของการใช้เซลล์ทางคลินิกภายในห้องปฏิบัติการปลอดเชื้อพิเศษสำหรับการผลิตเซลล์เพื่อใช้ทางคลินิก และยังพบว่าการรักษาด้วยเซลล์นักฆ่าจากผู้บริจาคในผู้ป่วยกลุ่มนี้มีความปลอดภัยสูงและมีผลข้างเคียงอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ โดยผู้ป่วยรายแรกที่เข้าร่วมโครงการมีระยะปลอดโรคนานถึง 18 เดือนแล้วหลังจากได้รับเซลล์นักฆ่า โดยทางศูนย์ฯ มีความมุ่งหวังจะดำเนินโครงการวิจัยทางคลินิกในระยะที่ 1 และ 2 ต่อไป ในปี พ.ศ. 2563 เพื่อศึกษาความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการรักษาผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวเพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการรักษาดังกล่าวแก่ผู้ป่วยกลุ่มที่เหมาะสมต่อไปในอนาคต
2. ทางศูนย์ฯ ได้เริ่มพัฒนาการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดลิมฟอยส์ด้วย Chimeric Antigen Receptor T cell ร่วมกับมหาวิทยาลัย Nagoya ประเทศญี่ปุ่น โดย Chimeric Antigen Receptor T cell คือเม็ดเลือดขาวของผู้ป่วยที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมให้มีความจำเพาะต่อมะเร็ง ซึ่งทำให้สามารถควบคุมมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดลิมฟอยส์ที่กลับเป็นซ้ำหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษามาตรฐานได้สูงถึง 80-90% การรักษาดังกล่าวได้รับการขึ้นทะเบียนแล้วในสหรัฐอเมริกาและยุโรป แต่มีค่าใช้จ่ายสูงถึง 10-15 ล้านบาท ศูนย์ฯ จึงได้มีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย Nagoya ประเทศญี่ปุ่น ในการพัฒนาผลิต Chimeric Antigen Receptor T cell ที่มีประสิทธิภาพสูงแต่ต้นทุนการผลิตต่ำเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการรักษาดังกล่าวแก่ผู้ป่วยชาวไทย ซึ่งการทดสอบในหลอดทดลองและในสัตว์ทดลองพบว่าเซลล์ที่ผลิตด้วยวิธีใหม่นี้มีประสิทธิภาพสูงในการทำลายเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว และมีความปลอดภัยในสัตว์ทดลอง ทางศูนย์ฯ มีความมุ่งหวังจะเริ่มต้นดำเนินการวิจัยทางคลินิกในระยะที่ 1 แก่ผู้ป่วยจำนวน 12 รายตั้งแต่ช่วงต้นปี พ.ศ. 2563 ซึ่งในปัจจุบันโครงการวิจัยดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ฯ
อ.นพ.ไตรรักษ์ พิสิษฐ์กุล หัวหน้ากลุ่มวิจัยพัฒนาแอนติบอดีเพื่อการรักษามะเร็ง ศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง และผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาเชิงระบบ กล่าวถึงความก้าวหน้าในการพัฒนายาแอนติบอดีเพื่อทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวสามารถกลับมาทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและกลับมากำจัดเซลล์มะเร็งได้ตามธรรมชาติในราคาที่เข้าถึงได้มากที่สุดสำหรับคนไทยว่า กระบวนการพัฒนายาแอนติบอดีนั้นมีความซับซ้อน ต้องผ่านการทดสอบหลายขั้นตอน ซึ่งขั้นตอนทั้งหมดแบ่งได้ 5 ระยะ ดังนี้
• ระยะที่ 1: การผลิตยาแอนติบอดีต้นแบบจากหนู ทำการผลิต เลือก และทดสอบยาต้นแบบจากเซลล์เม็ดเลือดขาวของหนูมากกว่าหนึ่งแสนแบบ ซึ่งในขั้นตอนนี้ใช้งบประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 ซึ่งทางศูนย์ฯ ทำสำเร็จได้ยาต้นแบบตัวแรกที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงยาในท้องตลาดจากต่างประเทศ
• ระยะที่ 2: ปรับปรุงแอนติบอดีต้นแบบจากหนูให้คล้ายกับโปรตีนของมนุษย์มากที่สุด และเพิ่มประสิทธิภาพให้ดีขึ้นใช้งบประมาณ 10 ล้านบาท ระยะเวลา 12 เดือน ซึ่งปัจจุบันงานวิจัยของกลุ่มอยู่ในระยะที่ 2 นี้ และมีความคืบหน้าไปแล้วประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์
• ระยะที่ 3: เมื่อได้ยาต้นแบบที่ปรับปรุงแล้วจึงทำการผลิตยาจากโรงงานในปริมาณมากให้มีคุณภาพ มาตรฐาน และความปลอดภัยสูงสุดเพื่อนำไปใช้ทดสอบในระยะต่อไป ขั้นตอนนี้ใช้งบประมาณ 200 ล้านบาท ระยะเวลา 24 เดือน
• ระยะที่ 4: ทดสอบคุณภาพและความปลอดภัยในสัตว์ทดลอง เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะทดสอบในมนุษย์ต่อไป คาดว่าจะใช้งบประมาณ 100-200 ล้านบาท และระยะเวลา 24 เดือน
• ระยะที่ 5: การทดสอบในมนุษย์เป็นการทดสอบตัวยาในผู้ป่วยมะเร็งในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มีการทดสอบต่าง ๆ อาทิ ปริมาณการให้ยา ประสิทธิภาพการรักษา ผลข้างเคียง เป็นต้น คาดว่าจะใช้งบประมาณ 1,000 ล้านบาท และระยะเวลา 48-60 เดือน
ศ.ดร.พญ.ณัฏฐิยา หิรัญกาญจน์ ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวปิดท้ายว่า ถึงแม้ว่างานวิจัยจากทั้ง 3 พันธกิจของศูนย์ฯ จะมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก และได้รับความสนับสนุนจากหลากหลายหน่วยงานและประชาชนโดยทั่วไป แต่การศึกษาและวิจัยยังต้องใช้เวลาและเงินทุนในการทำงานวิจัยในขั้นต่อ ๆ ไปอีกเป็นจำนวนมาก จึงยังมีความจำเป็นที่จะต้องหาแหล่งทุนทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนเพื่อสนับสนุนการวิจัยเพื่อให้เกิดความสำเร็จต่อไปอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ทางคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดกิจกรรมต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องทั้งเพื่อระดมทุนสนับสนุนและเพื่อให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชน ล่าสุดที่อยากจะฝากประชาสัมพันธ์คือ กิจกรรมงานวิ่งการกุศล "Chula Cancer Run ก้าว...ทันมะเร็ง" ที่จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2562 ณ สนามกีฬาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยจัดให้มีการวิ่ง 3 ระยะทาง ได้แก่ 2.2 กม., 5.2 กม. และ 10.2 กม. ซึ่งเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีและตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลตนเองเพื่อห่างไกลโรคมะเร็ง งานนี้ยังได้รับความอนุเคราะห์จากสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้ศิษย์เก่าอย่างพี่ตูน จากมูลนิธิก้าวคนละก้าวมาร่วมวิ่ง 10.2 กม. กับเราด้วย ผู้สนใจสมัครกันได้ที่ https://race.thai.run/chulacancerrun นอกจากนี้จะมีกิจกรรม Virtual Run พร้อมกันทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2562 จนไปถึงวันมะเร็งโลกในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 เพื่อให้มีการออกกำลังกายต่อเนื่อง ติดตามได้ใน LINE: @chulacancerrun (มี @) หรือสำหรับผู้ที่ต้องการจะร่วมบริจาคเพื่อการวิจัยสามารถบริจาคเข้าบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ “คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (เงินบริจาคเพื่อการวิจัย)” เลขที่ 045-304669-7 (กระแสรายวัน) ผู้ที่ต้องการใบเสร็จเพื่อลดหย่อนภาษี ขอให้กรอกข้อมูลใบเสร็จมาทาง online http://canceriec.md.chula.ac.th/donation/