ภาพประกอบ 10 ภาพ
1. นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา
2. ศ.คลินิก พญ.ศรีศุภลักษณ์ สิงคาลวณิช
3. ผศ.ภญ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี
4. ภญ.ดร.ดวงทิพย์ หงส์สมุทร
ลดพึ่งยาปฏิชีวนะ ลดวิกฤติเชื้อดื้อยาในเด็ก
ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) พบว่า ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา คนไทยใช้ยาปฏิชีวนะเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ประเทศไทยมีแนวโน้มการใช้ยาปฏิชีวนะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2552 มูลค่าการผลิตและนำเข้ายาปฏิชีวนะสูงถึง 10,940 ล้านบาท สาเหตุสำคัญประการหนึ่งเกิดจากการใช้ยาอย่างไม่สมเหตุผล ทั้งจากบุคลากรทางการแพทย์ เช่น แพทย์ เภสัชกร ที่สั่งใช้ยาไม่เหมาะสม และจากภาคประชาชนที่ขาดความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ยาปฏิชีวนะ เกิดพฤติกรรมการใช้ยาที่ไม่ถูกต้อง เช่น การซื้อยาใช้เอง การร้องขอยาจากแพทย์ การใช้ยาผิดประเภท ส่งผลให้เกิดวิกฤติเชื้อดื้อยาซึ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในเด็กไทยเมื่อได้รับยาปฏิชีวนะมากเกินไปย่อมมีผลกระทบตามมา จากข้อมูลการสั่งใช้ยาปฏิชีวนะในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 ของสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ในกลุ่มโรค URI (Upper respiratory infection หมายถึง โรคติดเชื้อเฉียบพลันของระบบหายใจส่วนต้น เริ่มตั้งแต่ช่องจมูกจนถึงเหนือกล่องเสียง เช่น โรคหวัด หรือ common cold) พบว่ามีการใช้ยาปฏิชีวนะเฉลี่ยร้อยละ 43.7 และโรคท้องร่วงเฉียบพลันมีการใช้ยาปฏิชีวนะเฉลี่ยร้อยละ 35 ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยเด็กในกลุ่มนี้ เพราะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อซ้ำและติดเชื้อดื้อยาได้ง่าย เนื่องจากเป็นวัยที่มีโอกาสคลุกคลีกับเด็กในวัยใกล้เคียงกันซึ่งยังขาดภูมิคุ้มกัน ดังนั้น การให้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็นอาจทำให้เกิดการแพ้ยาและสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อดื้อยาในอนาคต โดยยาปฏิชีวนะที่มักใช้กันบ่อย ได้แก่ อะม็อกซีซิลลิน เพนนิซิลลิน เตตร้าซัยคลิน นอร์ฟล็อกซาซิน คล็อกซาซิลลิน ไดคล็อกซาซิลลิน
ด้วยเหตุนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใส่ใจในเรื่องการใช้ยาปฏิชีวนะ เพราะการใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อนั้นให้ผลแตกต่างจากยาแก้ปวดและยาทั่วไป เนื่องจากยาประเภทอื่นเมื่อมีการใช้ไม่ถูกต้องจะส่งผลต่อสุขภาพของผู้ใช้เท่านั้น แต่การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างพร่ำเพรื่อส่งผลต่อสุขภาพทั้งของตนเองและผู้อื่น เช่น เกิดการแพ้ยา หากแพ้ไม่มากอาจมีแค่ผื่นคัน ถ้ารุนแรงขึ้นผิวหนังจะเป็นรอยไหม้ หลุดลอก หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิต เกิดเชื้อดื้อยา การรับประทานยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อกระตุ้นให้เชื้อแบคทีเรียกลายพันธฺุ์เป็นเชื้อดื้อยา ต้องเปลี่ยนไปใช้ยาปฏิชีวนะที่ใหม่ขึ้น แพงขึ้น ซึ่งเหลือให้ใช้อยู่ไม่กี่ชนิด สุดท้ายคือ ไม่มียารักษา และเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งเชื้อดื้อยานี้อาจแพร่สู่คนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้ป่วยเด็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ภูมิต้านทานโรคบกพร่อง หรือ เกิดโรคแทรกซ้อน ยาปฏิชีวนะจะฆ่าทั้งแบคทีเรียก่อโรค และแบคทีเรียชนิดดีมีประโยชน์ในลำไส้ เมื่อแบคทีเรียชนิดดีตายไป เชื้ออื่น ๆ ในร่างกายจึงฉวยโอกาสเติบโตมากขึ้น ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น ลำไส้อักเสบอย่างรุนแรง โดยผนังลำไส้ที่ถูกทำลายหลุดออกมากับอุจจาระ เป็นอันตรายถึงชีวิต
กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข โดยสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (โรงพยาบาลเด็ก) จึงได้ร่วมกับแผนงานพัฒนากลไกเฝ้าระวังระบบยา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ร่วม “รณรงค์การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผลในเด็ก: Antibiotics Smart Use in Children (ASU Kids)” เนื่องในวัน Antibiotic Awareness Day ซึ่งตรงกับวันที่ 18 พฤศจิกายนของทุกปี โดยประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป (European Union: EU) ได้จัดทำกิจกรรมรณรงค์ต่อเนื่องกันมาทุกปี
สำหรับประเทศไทยจัดขึ้นครั้งแรกในปีนี้ระหว่างวันที่ 18-24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พร้อมเปิดตัว ASU Kids และเผยผลการศึกษาในปี พ.ศ. 2556 จากการติดตามประเมินผลการรักษาผู้ป่วยเด็กที่มีอาการไข้หวัด-เจ็บคอ พบว่า 91.5% ของผู้ป่วยเด็กที่เข้ารับการรักษามีอาการดีขึ้นจนหายเป็นปกติ โดยไม่ต้องจ่ายยาปฏิชีวนะให้ ซึ่งอัตราการหายไม่แตกต่างจากกลุ่มที่ได้รับยาปฏิชีวนะในการรักษา จากการศึกษายังพบว่าผู้ปกครองส่วนใหญ่พึงพอใจ และ 98.5% ต้องการจะกลับมารับบริการอีกในครั้งต่อไป
นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ผู้ป่วยเด็กที่มีอาการไข้หวัด-เจ็บคอ ซึ่งมักพบบ่อยในเด็กอายุ 2-5 ปี เป็นโรคที่สามารถหายเองได้โดยภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ควรให้เด็กรับประทานยามากเกินไป โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะ เช่น อะม็อกซีซิลลิน ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ไม่สามารถรักษาอาการไข้หวัด-เจ็บคอที่เกิดจากเชื้อไวรัสได้ และยังเป็นอันตรายอาจทำให้เด็กแพ้ยาเพิ่มความเสี่ยงของโรคภูมิแพ้ในเด็ก ที่สำคัญคือ อาจเหนี่ยวนำให้เด็กเกิดเชื้อดื้อยาซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กในระยะยาว และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ในปีนี้ทางสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ในสังกัดกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ทำการศึกษาวิจัยโดยติดตามประเมินผลการรักษาผู้ป่วยเด็กที่ผู้ปกครองพามารับการรักษาด้วยอาการไข้หวัด-เจ็บคอ ซึ่งทางสถาบันฯ ได้ทำการรักษาตามอาการโดยไม่จ่ายยาปฏิชีวนะให้แก่ผู้ป่วย ผลปรากฏว่าผู้ป่วยเด็ก 91.5% มีอาการดีขึ้นจนหายเป็นปกติเป็นที่พอใจของผู้ปกครอง และบุคลากรผู้ให้การรักษา ซึ่งที่ผ่านมากรมการแพทย์ได้มุ่งเน้นให้สถานพยาบาลในสังกัดควบคุมปริมาณการจ่ายยาปฏิชีวนะให้เหมาะสมเพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของประชาชน สอดรับกับนโยบายลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาล และสอดคล้องกับองค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) ที่ประกาศให้ตระหนักถึงการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างถูกต้องสมเหตุผลเพื่อลดปัญหาเชื้อดื้อยา
ศ.คลินิก พญ.ศรีศุภลักษณ์ สิงคาลวณิช ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวว่า สถาบันฯ ตระหนักถึงอันตรายจากการรับประทานยาปฏิชีวนะที่มากเกินความจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยเด็ก จึงได้ควบคุมการจ่ายยาปฏิชีวนะโดยเฉพาะในโรคหายเองได้โดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ อย่างเช่น ไข้หวัด-เจ็บคอ ซึ่งแพทย์จะรักษาตามอาการและแนะนำวิธีการที่ถูกต้องให้แก่พ่อแม่ผู้ปกครอง พร้อมทั้งติดตามประเมินผลการรักษาอย่างใกล้ชิดเพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองมั่นใจในแนวทางการรักษา สำหรับอาการไข้หวัด-เจ็บคอ พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถตรวจสอบดูเองได้ง่าย ๆ โดยให้เด็กอ้าปาก ใช้ไฟฉายแสงขาวส่องดูในคอ หากไม่มีตุ่มหนองที่ต่อมทอนซิล และใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้กดใต้ขากรรไกรแล้วเด็กไม่เจ็บ แสดงว่าเกิดจากเชื้อไวรัส ไม่ต้องรับประทานยาปฏิชีวนะ แค่ให้เด็กดื่มน้ำอุ่นมากขึ้น พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายให้เหงื่อออกบ้างเล็กน้อย และดูแลร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ หากตัวร้อนเป็นไข้ให้เช็ดตัวหรือรับประทานยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้ เพียงเท่านี้ก็พอ
ด้าน ผศ.ภญ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการแผนงานพัฒนากลไกเฝ้าระวังระบบยา (กพย.) โดยการสนับสนุนของสำนักงานสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยว่า พฤติกรรมการใช้ยาปฏิชีวนะในสังคมไทยนั้นน่าเป็นห่วงและต้องเร่งป้องกันแก้ไข เนื่องจากมีความเชื่อและความเข้าใจผิดหลายประการ ประการแรกคือ เรียกชื่อผิด การเรียกยาปฏิชีวนะว่ายาแก้อักเสบ ทำให้เข้าใจผิดว่ายาปฏิชีวนะใช้ได้กับอาการอักเสบทุกชนิดและทำให้ใช้ยาผิดประเภท ซึ่งความจริงแล้วยาปฏิชีวนะมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น ไม่สามารถใช้รักษาอาการอักเสบที่เกิดจากเชื้อไวรัส หรือสาเหตุอื่น ๆ ได้ ประการที่สองคือ ผู้ป่วยมักไม่ทราบว่าเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของโรคหวัดเจ็บคอส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 80 เกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งสามารถหายเองได้ด้วยภูมิต้านทานของร่างกาย การไปหาซื้อยาปฏิชีวนะรับประทานเองจึงไม่ช่วยรักษาโรค แต่ยังเพิ่มอันตรายจากการใช้ยาโดยไม่จำเป็น ประการที่สามคือ ประชาชนมีความเชื่อตาม ๆ กันว่ารับประทานยาปฏิชีวนะกันไว้ก่อนจะช่วยป้องกันโรคได้ ซึ่งความเชื่อและความเข้าใจผิดดังกล่าวเป็นเหตุให้คนไทยใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อเกินจำเป็น จนเกิดเป็นวิกฤติเชื้อดื้อยาในปัจจุบัน และกำลังลุกลามไปถึงผู้ป่วยเด็กเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของพ่อแม่ผู้ปกครอง
กพย. โดยการสนับสนุนของ สสส. จึงร่วมมือกับภาคีเครือข่ายต่าง ๆ สนับสนุนให้เกิดกิจกรรมรณรงค์ให้ความรู้ สร้างความเข้าใจเรื่องการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผลมาโดยตลอด เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึงอันตราย และใช้ยาปฏิชีวนะอย่างถูกต้องและเหมาะสม
ภญ.ดร.ดวงทิพย์ หงส์สมุทร ผู้เชี่ยวชาญกองทุนยา เวชภัณฑ์และวัคซีน สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวเพิ่มเติมว่า สปสช. ในฐานะองค์กรที่มีหน้าที่สรรหาและจัดซื้อบริการสุขภาพให้แก่ประชาชน 47 ล้านคนทั่วประเทศ เล็งเห็นถึงปัญหาการใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อในสังคมไทย ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้สุขภาพย่ำแย่ เกิดโรคอื่นตามมาเท่านั้น แต่ยังทำให้ประเทศชาติต้องสูญเสียค่าดูแลรักษาสุขภาพและการสั่งซื้อยาจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งข้อมูลจาก อย. ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเผยให้เห็นว่าประเทศไทยมีการสั่งซื้อยาปฏิชีวนะมากเป็นอันดับหนึ่ง มูลค่าสูงกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี สปสช. จึงได้นำเอาแนวปฏิบัติโครงการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผล (Antibiotics Smart Use: ASU) จาก อย. และภาคีเครือข่ายมาเป็นแนวทางในการกำหนดเกณฑ์การลดใช้ยาปฏิชีวนะในสถานพยาบาล ขานรับนโยบายรัฐในการลดค่าใช้จ่ายประเทศและเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการด้านสุขภาพที่ปลอดภัย ไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อดื้อยาที่เป็นอันตรายถึงชีวิตซึ่งกำลังเป็นวิกฤติทั่วโลกอยู่ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม หากมีการใช้ยาปฏิชีวนะโดยขาดความระมัดระวังย่อมส่งผลกระทบด้านสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น คนไทยติดเชื้อในโรงพยาบาล 270,000 คน คนไทยติดเชื้อดื้อยา 90,000 คน ผู้ติดเชื้อดื้อยาอยู่โรงพยาบาลนานขึ้น 3 ล้านวัน คนไทยเสียชีวิตจากเชื้อดื้อยา 38,000 คน รวมถึงส่งผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นมูลค่ายาปฏิชีวนะรักษาเชื้อดื้อยา 6,000 ล้านบาท และความสูญเสียทางเศรษฐกิจรวม 30,000 ล้านบาท
ทั้งนี้เพื่อให้การใช้ยาปฏิชีวนะเป็นไปอย่างสมเหตุผล บุคลากรทางการแพทย์ เช่น แพทย์ เภสัชกร รวมทั้งประชาชนจำเป็นที่จะต้องมีความรู้ความเข้าใจเรื่องยาปฏิชีวนะ ดังต่อไปนี้
1. ยาปฏิชีวนะไม่ใช่ยาแก้อักเสบ ยาปฏิชีวนะเป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ส่วนยาแก้อักเสบเป็นยาต้านการอักเสบ ลดไข้ บรรเทาปวด ลดบวมแดง เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน ไม่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งการอักเสบส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากเชื้อแบคทีเรียจึงไม่จำเป็นต้องรับประทานยาปฏิชีวนะ การเรียกยาปฏิชีวนะผิดเป็นยาแก้อักเสบจะทำให้ใช้ยาผิดชนิด รักษาผิดโรค และเป็นอันตรายถึงชีวิต
2. ยาปฏิชีวนะเป็นยาอันตราย เพราะอาจทำให้แพ้ยา และเกิดเชื้อดื้อยา ดังนั้น กฎหมายจึงกำหนดให้ยาปฏิชีวนะเป็นยาอันตราย โดยมีคำเตือนในกรอบอยู่ข้างกล่อง และควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้น
3. โรคหายได้ ไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ อาทิ หวัด เจ็บคอ กว่าร้อยละ 80 เกิดจากไวรัส มีอาการ เช่น น้ำมูกไหล ไอ จาม เสียงแหบ เจ็บคอ คันคอ มีไข้ เป็นนาน 7-10 วัน โดยวันที่ 3-4 จะมีอาการมากที่สุด แล้วจะค่อย ๆ ดีขึ้นเอง รักษาโดยดื่มน้ำอุ่น กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ พักผ่อนให้มาก แต่ถ้ามีอาการ 3 ใน 4 ข้อคือ เจ็บคอมาก และไม่ไอ มีไข้ มีหนองที่ต่อมทอนซิล ต่อมน้ำเหลืองใต้ขากรรไกรโตและกดเจ็บ ต้องไปพบแพทย์หรือเภสัชกร ท้องเสีย กว่าร้อยละ 99 เกิดจากไวรัสหรืออาหารเป็นพิษ มีอาการถ่ายเหลวหรือถ่ายเป็นน้ำ อาจมีคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย รักษาโดยดื่มน้ำเกลือแร่ ไม่ต้องรับประทานยาปฏิชีวนะ แต่ถ้ามีไข้และถ่ายเป็นมูกเลือดต้องไปพบแพทย์หรือเภสัชกร แผลเลือดออก เช่น มีดบาด แผลถลอก แผลเล็กน้อยจากอุบัติเหตุ ซึ่งผู้ป่วยมีสุขภาพโดยรวมแข็งแรงดี รักษาโดยล้างทำความสะอาดอย่างถูกต้อง ไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ แต่ถ้าเป็นแผลที่เท้า ตะปูตำ สัตว์กัด แผลถูกสิ่งสกปรก เช่น มูลสัตว์ น้ำครำ หรือมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ต้องไปพบแพทย์หรือเภสัชกร