14 ปี โครงการจีแพป ความสำเร็จในการเข้าถึงยาของกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบมัยอีลอยด์ และมะเร็งทางเดินอาหารจีสต์

14 ปี โครงการจีแพป ความสำเร็จในการเข้าถึงยาของกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบมัยอีลอยด์ และมะเร็งทางเดินอาหารจีสต์

            โครงการช่วยเหลือผู้ป่วยนานาชาติ จีแพป (GIPAP: Glivec International Patient Assistance Program) เป็นโครงการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังแบบมัยอีลอยด์ (Chronic Myeloid Leukemia: CML) ที่มีผลฟิลาเดลเฟียโครโมโซม (philadelphia chromosome) เป็นบวก และผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารชนิดจีสต์ (GIST: Gastro-Intesinal Stromal Tumor) โดยบริษัทโนวาร์ตีส เอจี จำกัด จะจัดมอบยาเพื่อการรักษาให้แก่ผู้ป่วยในประเทศที่มีโอกาสน้อยในการเข้าถึงระบบเบิกค่ารักษาพยาบาล โดยไม่คิดมูลค่าอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะมียาอื่นที่จะเป็นทางเลือกของผู้ป่วยได้ ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งใน 80 ประเทศทั่วโลกที่ได้รับอนุมัติให้มีโครงการดังกล่าว และได้ดำเนินโครงการมาเป็นปีที่ 14 นับตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2545 โดยได้ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ป่วยมากกว่า 4,980 ราย มีผู้ป่วยในโครงการที่มีชีวิตอยู่และยังได้รับความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนถึง 2,415 ราย และยังมีผู้ป่วยจำนวนมากที่กำลังจะเข้าร่วมโครงการในอนาคต ปัจจุบันโรงพยาบาลและศูนย์การรักษาพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการจีแพปในประเทศไทยมีทั้งสิ้น 73 แห่ง และมีแพทย์เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 215 ท่าน 

            นายจีระพล ไชยมงคล ประธานชมรมผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังแบบมัยอีลอยด์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากความร่วมมือเป็นเวลา 14 ปี ทำให้โครงการช่วยเหลือผู้ป่วยนานาชาติ จีแพป (GIPAP) ประสบความสำเร็จ สามารถเพิ่มโอกาสในการรักษาและช่วยเหลือผู้ป่วยในประเทศไทยของกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบมัยอีลอยด์ และมะเร็งทางเดินอาหารชนิดจีสต์อย่างต่อเนื่อง โครงการช่วยเหลือผู้ป่วยนานาชาติ จีแพป เป็นโครงการที่เกิดขึ้นจากความช่วยเหลือและร่วมมือด้วยดีจากกระทรวงสาธารณสุข กรมการแพทย์ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และบริษัท โนวาร์ตีส เอจี จำกัด ในการจัดสรรยา Imatinib ให้แก่ผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง และเรื่องน่ายินดีที่เพิ่มขึ้นคือ ในขณะนี้ผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังแบบมัยอีลอยด์สิทธิประกันสังคมและบัตรทองสามารถเข้าถึงการตรวจติดตามผลการรักษาด้วยยา Imatinib คือ การตรวจวัดระดับยีน BCR-ABL ในขณะเดียวกันผู้ป่วยมะเร็งทางเดินอาหารจีสต์ในโครงการจีแพปเอง ก็สามารถได้รับขนาดยา Imatinib เพิ่มขึ้นมากกว่า 400 มิลลิกรัมต่อวัน ในกรณีที่มีความจำเป็นอีกด้วย

นายจีระพล กล่าวว่า รู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างยิ่งกับความสำเร็จในการร่วมมือกัน จนทำให้ชมรมผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังแบบมัยอีลอยด์แห่งประเทศไทย มีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน มีผู้ป่วยที่มีสุขภาพแข็งแรงเข้ามาเป็นจิตอาสา ทำงานเพื่อผู้ป่วยคนอื่นเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าในอดีตที่ผ่านมาในระยะแรกของการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังแบบมัยอีลอยด์จะทำให้การรักษาได้ผลไม่ดี แต่จากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทำให้ปัจจุบันโครงการนี้ได้มีส่วนช่วยเหลือประชาชนให้ได้รับยาที่มีมาตรฐานและประสิทธิภาพดี และทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงยาได้ ผู้ป่วยโรคนี้กลายเป็นคนปกติอยู่ในสังคมไทยเหมือนโรคเรื้อรังชนิดอื่น ๆ เช่น โรคเบาหวาน หรือโรคความดันโลหิตสูง สามารถทำให้ผู้ป่วยได้มีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น  

.พญ.แสงสุรีย์ จูฑา ประธานชมรมโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังแบบมัยอีลอยด์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบมัยอีลอยด์ (Chronic Myeloid Leukemia: CML) สามารถเกิดได้ทุกกลุ่มอายุ แต่ในประเทศไทยจะพบผู้ป่วยส่วนใหญ่อายุเฉลี่ยอยู่ที่ 36-45 ปี และจะพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง อุบัติการณ์ที่รายงานคือ ประมาณ 0.5 รายต่อประชากรแสนคนต่อปี โดยจะมีผู้ป่วยในประเทศไทยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค CML ประมาณ 700-1,000 รายต่อปี สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งชนิด CML นั้นยังไม่ทราบแน่ชัด แต่การฉายรังสีเป็นปัจจัยเดียวที่อาจทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสูงขึ้น โดยอาการของผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง ผอมลง รับประทานอาหารแล้วแน่นท้อง อีกทั้งมีก้อนในท้อง ซึ่งการเจอก้อนในท้องอาจจะตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจร่างกายประจำปี

ปัจจุบันมาตรฐานการรักษาทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศแนะนำให้ยา Imatinib 400 มิลลิกรัมต่อวัน หรือยา Nilotinib 600 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นยาที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วย ซึ่งยาทั้ง 2 ตัวสามารถให้ผลการตอบสนองที่ดี แต่ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องและดูแลตนเองตามแพทย์แนะนำจึงจะได้ผลค่อนข้างดี ผู้ป่วยจึงสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวไม่แตกต่างจากโรคเรื้อรังทั่วไป และสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติเหมือนคนทั่วไป โดยเป้าหมายในการรักษาคือ การลดจำนวนเซลล์มะเร็งในร่างกายให้เหลือน้อยที่สุดอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้โรคเข้าสู่ระยะลุกลามซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโดยตรง และเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยสามารถหยุดยาได้ ดังนั้น การติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่องจึงมีความสำคัญมาก เพื่อสังเกตว่าผู้ป่วยตอบสนองต่อยาได้ดีหรือไม่ ซึ่งจะทำให้แพทย์สามารถพิจารณาเลือกการรักษาได้อย่างเหมาะสมกับระยะของโรค โดยเทคโนโลยีปัจจุบันสามารถตรวจวัดปริมาณโปรตีนที่ผิดปกติ (BCR-ABL) หรือที่เป็นผลผลิตจากยีนที่ผิดปกติในร่างกายได้ เรียกว่าการตรวจ RQ-PCR (Real-Time Quantitative Polymerase Chain Reaction) ซึ่งตามเกณฑ์ผู้ป่วยทุกคนควรตอบสนองต่อการรักษาจนถึงระดับลึกที่สุดคือ Major Molecular Response (MMR) โดยมีปริมาณ BCR-ABL ≤ 0.1 เปอร์เซ็นต์ IS ภายในระยะเวลาไม่เกิน 18 เดือน หากยังไม่ได้ผลการตอบสนอง ผู้ป่วยก็ควรได้รับการพิจารณาเปลี่ยนยารักษาต่อไป

.พญ.แสงสุรีย์ กล่าวต่อว่า ด้วยความร่วมมือในทุกภาคส่วน ทำให้ปัจจุบันได้เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยในสิทธิประกันสังคมและบัตรทองสามารถเข้าถึงการตรวจ RQ-PCR ได้แล้ว จึงอยากกล่าวขอบคุณในนามของแพทย์ที่มีโอกาสได้ดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งชนิด CML รวมถึงตัวผู้ป่วยและครอบครัว ขอบคุณบริษัทโนวาร์ตีส ตั้งแต่การคิดค้นพัฒนายาที่ดี ริเริ่มให้เกิดโครงการจีแพปขึ้นมาในประเทศไทย และขอขอบคุณผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในภาครัฐ ประกันสังคม และ สปสช. สำหรับการดำเนินการช่วยเหลือในการสานต่อความหวังผู้ป่วยโรคมะเร็งชนิด CML ให้พัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

ผศ.นพ.เอกภพ สิระชัยนันท์ อุปนายกมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า โรคมะเร็งทางเดินอาหารชนิดจีสต์ (GIST) เป็นมะเร็งชนิดหนึ่งของระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเป็นมะเร็งที่แตกต่างจากมะเร็งระบบทางเดินอาหารชนิดอื่น ๆ เนื่องจากมะเร็งจีสต์เกิดจากเซลล์ที่เป็นต้นกำเนิด คือเซลล์ที่ควบคุมการบีบตัวของลำไส้ เพราะฉะนั้น จึงสามารถพบมะเร็งจีสต์ได้ตามส่วนต่าง ๆ ของระบบทางเดินอาหาร โดยตำแหน่งที่พบบ่อยที่สุดคือกระเพาะอาหาร มะเร็งจีสต์ถือได้ว่าเป็นมะเร็งที่พบได้น้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับมะเร็งของระบบทางเดินอาหารชนิดอื่น สำหรับในประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคมะเร็งจีสต์จำนวน 1,581 ราย และมีอัตราการเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกปี

สำหรับอาการของมะเร็งทางเดินอาหารชนิดจีสต์มีความคล้ายคลึงกับมะเร็งทางเดินอาหารชนิดอื่น ๆ โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ผู้ป่วยบางรายคลำพบก้อนในท้อง ซึ่งหากก้อนมะเร็งจีสต์อยู่ในกระเพาะอาหารก็อาจจะทำให้เลือดออกในกระเพาะอาหาร โดยเลือดจะปนออกมากับอุจจาระทำให้อุจจาระมีสีดำ และหากมีเลือดออกในกระเพาะอาหารมาก ผู้ป่วยก็อาจจะอาเจียนออกมาเป็นเลือดได้  นอกจากนั้นผู้ป่วยก็มักจะมีอาการอ่อนเพลีย ซีด เนื่องจากมีเลือดออกด้วย ซึ่งอาการของมะเร็งทางเดินอาหารชนิดจีสต์ไม่มีข้อเจาะจง แต่ถ้าหากมีอาการที่น่าสงสัยแบบเรื้อรัง และรับการรักษาโรคทั่วไปแล้วไม่ดีขึ้นก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายดูว่ามีก้อนในท้องหรือไม่ โดยวิธีการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งทางเดินอาหารชนิดจีสต์มีอยู่ด้วยกันหลายวิธี อาทิ เอกซเรย์ดูก้อนในท้องหรือส่องกล้องเข้าไปดูก้อนในกระเพาะอาหาร โดยการส่องกล้องจะตัดชิ้นเนื้อบางส่วนมาตรวจยืนยันว่าเป็นมะเร็งทางเดินอาหารชนิดจีสต์หรือไม่

ระยะเริ่มแรกของโรคมะเร็งทางเดินอาหารชนิดจีสต์จะมีลักษณะเป็นก้อนอยู่บริเวณเดียว ซึ่งสามารถรักษาได้โดยการผ่าตัดและมีโอกาสที่จะหายขาด แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากการผ่าตัดผู้ป่วยก็มีความเสี่ยงที่โรคจะกำเริบขึ้นมาได้ ซึ่งแต่ละคนมีความเสี่ยงไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับลักษณะของโรค แต่ถ้าหากตัวโรคได้แพร่กระจายไปยังบริเวณอื่นแล้ว ก็จะมีโอกาสน้อยในการรักษาให้หายขาด ซึ่งถ้าหากโรคกระจายไปที่ตับก็ต้องรักษาด้วยยา เดิมใช้วิธีการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด แต่เนื่องจากมะเร็งจีสต์เป็นโรคที่ตอบสนองต่อเคมีบำบัดน้อยมาก ช่วงหลังจึงมีการพัฒนายา Targeted Therapy หรือยาที่รักษาได้โดยตรงคือ ยา Imatinib โดยทางการแพทย์พบว่ายากลุ่มนี้สามารถที่จะควบคุมโรคได้ดีกว่ายาเคมีบำบัด ทำให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งจีสต์มีทางเลือกในการรักษามากขึ้น และมีอายุยืนยาวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ด้าน นพ.ชูชัย ศรชำนิ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า เรื่องของการรักษาโรคมะเร็งจะพบว่า สถิติของผู้ป่วยมะเร็งมีเพิ่มขึ้นร้อยละ 5-7 ต่อปี อัตราการเข้ารับการรักษาโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยมะเร็งเข้าถึงการรักษาได้มากขึ้น หรือมีประชาชนป่วยเป็นโรคมะเร็งมากขึ้น ซึ่งแต่ละสิทธิการรักษาของแต่ละกองทุนจะมีความแตกต่างกัน จึงทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการไม่เหมือนกัน ดังนั้น นโยบายของรัฐบาลจึงมีแนวทางบูรณาการมะเร็งให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทุกกองทุนสุขภาพ ในส่วนของ สปสช.นั้นก็ได้เห็นชอบในหลักการที่จะบูรณาการระบบบริการสำหรับการเข้าถึงยารักษาโรคมะเร็ง และการดูแลรักษาโรคมะเร็ง 6 เรื่อง ได้แก่ 1. การประชาสัมพันธ์เพื่อให้ความรู้  2. การส่งเสริมป้องกัน  3. การคัดกรองโรคมะเร็ง  4. การจ่ายชดเชยค่าบริการ  5. การดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง  6. การทำฐานข้อมูลผู้ป่วยมะเร็ง

สำหรับการเข้าถึงยารักษาโรคมะเร็ง สปสช.ยังคงมุ่งมั่นยึดหลักในการช่วยเหลือประชาชนในการรักษาจากการบริหารจัดการยา ก่อนหน้านี้ สปสช.ได้เพิ่มรายการยาเพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงอย่างต่อเนื่องในกลุ่มยาต่าง ๆ นอกจากนี้นโยบายด้านยาระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจะช่วยทำให้ประชาชนเข้าถึงการรักษา รวมถึงการบริหารจัดการยาของ สปสช.จะส่งผลให้เกิดการต่อรองราคายาโดยรวม ไม่เพียงแต่ช่วยประหยัดงบประมาณให้แก่กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ปีละเกือบหมื่นล้านบาท แต่จะช่วยประหยัดงบประมาณให้แก่กองทุนรักษาพยาบาลอื่นด้วย ซึ่งเชื่อว่าการเพิ่มสิทธิประโยชน์ยาจะช่วยประหยัดงบประมาณในการจัดซื้อยาเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดภาระค่ายาที่มีราคาแพงให้แก่โรงพยาบาลที่ต้องดูแลผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาเหล่านี้ ส่งผลให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาอย่างทั่วถึง ยกตัวอย่างเช่น กรณีโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังแบบมัยอีลอยด์ สปสช.ก็ได้เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการตรวจ RQ-PCR ได้แล้วในปัจจุบัน แต่สำหรับมะเร็งทางเดินอาหารชนิดจีสต์ แม้ตอนนี้ทางเลือกในการเข้าถึงยารักษาอาจจะยังไม่เต็มที่ แต่ก็จะประสานความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องให้ช่วยเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้ป่วยอีกช่องทางหนึ่ง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนต่อไป

พญ.จิตสุดา บัวขาว ที่ปรึกษากรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กรมการแพทย์นั้นมีเป้าหมายก็คือ “ให้ประชาชนได้รับบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี” ดังเช่นในปี พ.ศ. 2558 กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ลงนามความร่วมมือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและองค์การเภสัชกรรม ในการบริหารจัดการยา Imatinib ซึ่งเป็นยาบริจาค ทางกรมการแพทย์มีความรู้สึกยินดีที่ได้เป็นส่วนสำคัญในการช่วยเหลือผู้ป่วยในประเทศไทยทั้งผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังแบบมัยอีลอยด์ และมะเร็งทางเดินอาหารชนิดจีสต์

ด้าน นางกรรณิการ์ พฤกษชาติ ผู้อำนวยการสำนักจัดระบบบริการทางการแพทย์ สำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า สำนักงานประกันสังคมให้ความคุ้มครองการรักษาพยาบาลแก่ผู้ประกันตนครอบคลุมทุกโรค รวมถึงโรคมะเร็งซึ่งเป็นโรคที่มีภาระค่าใช้จ่ายสูง แต่ผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังแบบมัยอีลอยด์และมะเร็งทางเดินอาหารชนิดจีสต์ที่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม สามารถใช้ชีวิตอย่างผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวานได้ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ป่วยกลุ่มนี้สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และกลับเข้าสู่ระบบแรงงานได้อีกด้วย