“โรคผื่นแพ้ต่อมไขมัน” ไม่อันตราย ไม่ติดต่อ แต่เป็นเรื้อรังให้รำคาญใจ
โรคผื่นแพ้ต่อมไขมัน (seborrheic dermatitis) หรือ “เซ็บเดิม” เป็นโรคผิวหนังที่พบได้บ่อย 1-5% ในประชากรทั่วไป ซึ่งเป็นโรคเรื้อรัง เป็น ๆ หาย ๆ แต่ไม่ติดต่อจากการสัมผัส แต่เป็นโรคที่มีผลต่อทางด้านจิตใจ ความมั่นใจ และบุคลิกภาพของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก โดยลักษณะของโรคจะเกิดบริเวณผิวหนังที่มีต่อมไขมันเป็นจำนวนมาก เช่น หนังศีรษะ ไรผม ข้างจมูก คิ้ว (บริเวณ T-Zone) บนใบหน้า หน้าอก เป็นต้น บริเวณดังกล่าวจะมีลักษณะเป็นขุยสีเหลือง มันวาว ร่วมกับมีผื่นแดงร่วมด้วย
นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ และโฆษกกรมการแพทย์ เปิดเผยถึงลักษณะของโรคผื่นแพ้ต่อมไขมันว่า ลักษณะของโรคผื่นแพ้ต่อมไขมันส่วนใหญ่เป็นกับผู้ป่วยที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป สำหรับเด็กทารกแรกคลอด สามารถพบโรคนี้ในช่วง 3 เดือนแรกหลังคลอด ซึ่งสามารถหายได้เอง โดยสามารถพบสะเก็ดหนาสีเหลือง เป็นมันติดแน่นเป็นแผ่น เชื่อว่าการที่เกิดโรคนี้ในทารกเกิดจากฮอร์โมนจากแม่ที่ถ่ายทอดไปยังลูก ฮอร์โมนตัวนี้จะกระตุ้นต่อมไขมันในผิวหนังที่หนังศีรษะ ทำให้หนังศีรษะและเส้นผมเป็นมันเยิ้ม แต่หลังจากนั้นอิทธิพลของฮอร์โมนจะเริ่มหมดไป ผื่นจึงดีขึ้นได้เอง แต่ในช่วงวัยรุ่นจะเกิดการที่เริ่มมีการผลิตฮอร์โมนเพศที่ไปกระตุ้นต่อมไขมันให้มีขนาดโตขึ้นและหลั่งไขมันออกมามากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรค โดยอาการที่เป็นจะเป็น ๆ หาย ๆ ในผู้ใหญ่ แต่จะหายเองได้ในเด็กทารก มักจะสัมพันธ์กับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง เช่น หน้าหนาว อากาศแห้ง ผื่นจะกำเริบได้บ่อยกว่า และอาจดีขึ้นในหน้าร้อน อาการผู้ป่วยบางรายจะสัมพันธ์กับโรคทางระบบประสาทบางชนิด เช่น Parkinson’s, Alzheimer disease หรือผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) จะทำให้โรคนี้เป็นรุนแรงมากขึ้น
สำหรับสาเหตุของโรค ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดแต่แพทย์เชื่อว่าปัจจัยต่าง ๆ มีผลต่อการเกิดโรคผื่นแพ้ต่อมไขมัน คือ ภาวะใด ๆ ที่กระตุ้นให้ต่อมไขมันทำงานผิดปกติ เช่น ฮอร์โมนการติดเชื้อราบางชนิด เช่น เชื้อ Malassezia species ยาบางอย่าง เช่น griseofulvin, cimetidine, lithium, methyldopa หรือมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม อีกทั้งรับประทานอาหารที่ไม่ครบถ้วน ทำให้เกิดภาวะขาดสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุ ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุของโรคได้ การรักษาในเด็กทารกส่วนมากหายได้เอง แต่ในรายที่เป็นรุนแรงหรือมีการอักเสบเรื้อรังอาจทาสเตียรอยด์อ่อน ๆ ที่บริเวณผื่น 2-3 วัน ร่วมกับการทาครีมบำรุงผิว
ในส่วนของผู้ใหญ่ ผื่นจะเป็นเรื้อรัง เป็น ๆ หาย ๆ การรักษาจะเน้นที่การควบคุมโรค มากกว่าที่จะรักษาให้หายขาด ผื่นแพ้ต่อมไขมันที่ศีรษะแนะนำให้ใช้ยาสระผมที่มีส่วนประกอบของ tar (น้ำมันดิน), zinc pyrithione, selenium sulfide, sulfur, salicylic acid, ketoconazole เป็นต้น เพื่อลดรังแค ขุยที่หนังศีรษะ ในผู้ป่วยที่ผื่นหนาอักเสบมากอาจทายาสเตียรอยด์ร่วมด้วยได้
ผื่นแพ้ต่อมไขมันที่ใบหน้า ข้างจมูก คิ้ว แนะนำให้ใช้ยาที่มีฤทธิ์ลดการอักเสบของผิวหนัง หรือลดจำนวนเชื้อรา เช่น ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ และยาทาลดเชื้อยีสต์ สำหรับยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ ถ้าใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน ๆ จะทำให้เป็นสิว ผิวบาง เส้นเลือดขยาย และติดยาสเตียรอยด์ได้
ดังนั้น โรคนี้แม้เป็นโรคไม่ติดต่อแต่ก็ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง เพื่อการควบคุมโรคและการรักษาที่ตรงจุด ป้องกันและลดข้อแทรกซ้อนจากยา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การดูแลตัวเองเพื่อลดการเห่อ หรือกำเริบของโรค คำแนะนำในการดูแลคือ หลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดโรค เช่น ความเครียด ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ แสงแดด พักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นต้น รวมทั้งควรล้างหน้าด้วยสบู่ที่ไม่ระคายเคืองต่อผิว หมั่นทาครีมบำรุงผิว ดูแลผิวให้ชุ่มชื้น ใช้เครื่องสำอางชนิดที่เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย เพียงแค่นี้โรคผื่นแพ้ต่อมไขมันอักเสบก็จะไม่มากวนใจอีก