กรมวิทย์ฯ ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตชุดทดสอบอัลฟ่าธาลัสซีเมีย 1 ให้เอกชนขยายช่องทางการให้บริการประชาชน
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตชุดทดสอบตรวจความผิดปกติของยีนอัลฟ่าธาลัสซีเมีย 1 (Alpha-thalassemia 1) เพื่อให้สามารถนำไปผลิตและจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ได้ เป็นการขยายช่องทางการให้บริการสู่หน่วยงานที่ต้องการใช้ชุดทดสอบนี้ได้มากยิ่งขึ้น ที่ผ่านมาพบคนไทยเป็นพาหะธาลัสซีเมียราว 24 ล้านคน และแต่ละปีมีเด็กเกิดใหม่ป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมียมากกว่า 12,000 ราย คิดเป็นค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพประมาณ 6 พันล้านบาทต่อปี
นพ.สุขุม กาญจนพิมาย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวภายหลังเป็นประธานพิธีลงนามสัญญาการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตชุดทดสอบตรวจความผิดปกติของยีนอัลฟ่าธาลัสซีเมีย 1 (Alpha-thalassemia 1) ระหว่างกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กับบริษัท ยีน เอ็กซ์เซลเลนส์ จำกัด ว่า โรคธาลัสซีเมียเป็นโรคโลหิตจางเรื้อรังที่เกิดจากความผิดปกติของยีนที่เกี่ยวข้องในการสังเคราะห์ฮีโมโกลบินของเม็ดเลือดแดง ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกง่าย ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีอาการตั้งแต่มีโลหิตจางเล็กน้อย โลหิตจางมาก ไปจนถึงอาการรุนแรงมากจนเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาหรือหลังคลอดไม่นาน ส่วนผู้ที่ไม่เป็นโรคหรือที่เรียกว่าเป็นพาหะจะมีสุขภาพแข็งแรงเช่นเดียวกับคนปกติทั่วไป แต่สามารถถ่ายทอดยีนที่ผิดปกติไปสู่ลูกหลานได้ ประเทศไทยพบพาหะธาลัสซีเมียประมาณร้อยละ 30-40 ของประชากร หรือประมาณ 18-24 ล้านคน ในแต่ละปีมีผู้ป่วยโดยรวมประมาณ 6 แสนคน และมีมารดาที่เสี่ยงต่อการมีบุตรเป็นโรคธาลัสซีเมียประมาณ 5 หมื่นราย มีเด็กเกิดใหม่ป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมียมากกว่า 12,000 ราย โรคนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้โดยการปลูกถ่ายไขกระดูก แต่ไม่สามารถทำได้ทุกคนเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการสูงมาก และต้องมีผู้บริจาคไขกระดูกที่เข้ากับผู้ป่วยได้ การรักษาโดยทั่วไปจึงเป็นการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ คิดเป็นค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพปีละประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม โรคธาลัสซีเมียสามารถควบคุมและป้องกันได้โดยการเก็บตัวอย่างเลือดหญิงตั้งครรภ์และสามีส่งตรวจความผิดปกติทางห้องปฏิบัติการ
นพ.สุขุม กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจหลักในการตรวจวินิจฉัย ยืนยัน และพัฒนาระบบประกันคุณภาพทางห้องปฏิบัติการเพื่อสนับสนุนการควบคุมและป้องกันโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงของประเทศ ได้มีการคิดค้นและพัฒนาชุดทดสอบตรวจความผิดปกติของยีนอัลฟ่าธาลัสซีเมีย 1 (Alpha-thalassemia 1) มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ซึ่งสามารถตรวจหาความผิดปกติของยีนธาลัสซีเมียที่พบในประเทศไทยได้ครบทั้ง 2 ชนิด คือ ชนิด SEA (Southeast Asia) และชนิด Thai (ไทย) โดยอาศัยหลักการการเพิ่มปริมาณดีเอ็นเอ และการตรวจวิเคราะห์ความผิดปกติของยีน (Relative Quantitative PCR) นับเป็นนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ครั้งแรกของโลกที่สามารถตรวจหาความผิดปกติของยีนอัลฟ่าธาลัสซีเมีย 1 ทั้ง 2 ชนิดได้ในคราวเดียวกัน ช่วยลดขั้นตอนและระยะเวลาการตรวจจาก 6 ชั่วโมง เหลือเพียง 3 ชั่วโมง โดยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552-2560 มีหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนที่นำชุดทดสอบดังกล่าวไปใช้ประโยชน์แล้วจำนวนกว่า 155,600 การทดสอบ รวมมูลค่า 12,448,000 บาท
“การถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตชุดทดสอบตรวจความผิดปกติของยีนอัลฟ่าธาลัสซีเมีย 1 (Alpha-thalassemia 1) ให้บริษัทเอกชนนำไปผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในราคาที่เหมาะสมภายใต้การดูแลองค์ความรู้และเทคโนโลยีของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จะเป็นการเพิ่มศักยภาพของชุดทดสอบและเพิ่มช่องทางการให้บริการกับหน่วยงานที่มีความประสงค์ใช้ชุดทดสอบนี้ได้มากยิ่งขึ้นเพื่อประโยชน์ต่อประชาชน” นพ.สุขุม กล่าวทิ้งท้าย