“ท่อน้ำตาอุดตัน” รักษาได้ไร้แผลเป็น

“ท่อน้ำตาอุดตัน” รักษาได้ไร้แผลเป็น

ภาวะท่อน้ำตาอุดตันเป็นโรคที่พบได้ทั้งในเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงผู้ใหญ่ โดยจะมีอาการเบื้องต้นเหมือนกันคือ มีน้ำตาไหลเอ่อคลอ มีขี้ตามาก ซึ่งอาจทำให้เยื่อตาอักเสบติดเชื้อเป็น ๆ หาย ๆ ได้ และอาจรุนแรงถึงขั้นมีฝีหนองที่ตำแหน่งของถุงน้ำตาที่หัวตา

พญ.อารีย์ นิมิตรวงศ์สกุล จักษุแพทย์ โรงพยาบาลกรุงเทพ ให้สัมภาษณ์ถึงระบบระบายน้ำตาของคนเราว่าจะมีลักษณะคล้ายกับท่อระบายน้ำของอ่างล้างหน้า ล้างมือ กล่าวคือ มีรูเปิดของท่อระบาย ส่วนของท่อระบายและปลายท่อระบาย ซึ่งถ้าหากส่วนใดส่วนหนึ่งของท่ออุดตันขึ้นมาก็จะทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมเอ่อขัง เช่นเดียวกันหากเกิดภาวะนี้ในระบบระบายน้ำตาก็จะทำให้มีน้ำตาไหลตลอดเวลา มีขี้ตาเยอะ ตลอดจนเกิดฝีหนองที่หัวตา จนเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะท่อตาอุดตันได้ในที่สุด คนไข้กลุ่มนี้มักสังเกตง่าย ๆ ว่ามักเดินเข้ามาพร้อมผ้าเช็ดหน้า หรือ กระดาษทิชชู คอยซับน้ำตาอยู่ตลอด ขี้ตาจะค่อนข้างเยอะ และอาจมีประวัติเกิดถุงหนองที่หัวตาอักเสบมาก่อนได้ หรือกดที่หัวตาจะมีน้ำตา และ/หรือขี้ตาเอ่อทะลักออกมา แพทย์จะทำการตรวจเบื้องต้นโดยจะแยงเข็มปลายตัดไม่แหลมคมเข้าที่รูท่อน้ำตาที่หัวตา แล้วฉีดน้ำเกลือลงไป หากท่อน้ำตาไม่ตัน คนไข้จะรับรู้ถึงรสเค็ม ๆ ของน้ำเกลือลงคอ หากไม่ลงคอแล้วไหลย้อนกลับก็คือ ท่อน้ำตาตัน ภาวะท่อน้ำตาอุดตันนี้สามารถเกิดได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่

สำหรับภาวะท่อน้ำตาอุดตันในเด็ก สามารถพบได้ตั้งแต่แรกเกิด อาการที่พบคือ มีน้ำตาซึม ๆ บางครั้งมีขี้ตาเหลืองเขียวบ่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่เยื่อบุตาขาวอาจจะแดงหรือไม่แดงก็ได้ บางคนเป็นเยอะถึงขนาดบวมอักเสบเป็นฝีหนองที่หัวตา โดยส่วนใหญ่มักเกิดกับเด็กที่คลอดก่อนกำหนด แต่ในบางครั้งก็สามารถพบภาวะนี้ในเด็กที่คลอดครบกำหนดได้เช่นกัน ซึ่งเด็กกว่า 90% จะมีอาการดีขึ้นและหายได้ในช่วง 1 ขวบปีแรก สำหรับการรักษาเบื้องต้นคือ การนวดหัวตาเพื่อให้เนื้อเยื่อที่ปิดรูท่อน้ำตาทะลุออกไป แต่หากไม่หาย แพทย์ก็จะทำการแยงท่อน้ำตา และในบางรายอาจต้องมีการใส่สายยางซิลิโคนในท่อน้ำตาเพื่อป้องกันการอุดตันซ้ำ หากในเด็กที่ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธีตั้งแต่แรก หรือแยงท่อน้ำตาแล้วยังมีอาการน้ำตาไหลอยู่อาจต้องพิจารณาผ่าตัดท่อน้ำตาแบบเดียวกับกรณีของผู้ใหญ่

สำหรับภาวะท่อน้ำตาอุดตันในผู้ใหญ่ จะพบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย อายุเฉลี่ยที่พบคือ ช่วงระหว่าง 50-70 ปี โดยมักไม่ทราบสาเหตุ และอาจสัมพันธ์กับประวัติเยื่อบุโพรงจมูกอักเสบเรื้อรัง ทำให้น้ำตาเอ่อขังอยู่ในตาและมีน้ำตาไหล ต้องคอยซับน้ำตาทำให้เสียบุคลิก และสร้างความรำคาญให้แก่ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการอักเสบเป็นฝีหนองที่ถุงน้ำตาที่หัวตา ในกรณีที่ผู้ป่วยมีท่อน้ำตาอุดตันและมีภาวะอื่น ๆ ทางตาที่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดลูกตา เช่น การผ่าตัดต้อกระจก หรือการผ่าตัดจอประสาทตา เป็นต้น ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีความเสี่ยงของการติดเชื้อเข้าไปในลูกตาได้สูงกว่าปกติ ดังนั้น เมื่อพบว่ามีอาการท่อน้ำตาอุดตันจึงควรได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี

ด้านการผ่าตัดแก้ไขท่อน้ำตาอุดตันนั้น พญ.อารีย์ กล่าวว่า แพทย์ต้องทำการล้างท่อน้ำตาเพื่อหาตำแหน่งของการอุดตัน เพื่อพิจารณาเลือกวิธีการผ่าตัดที่เหมาะสมกับผู้ป่วย ซึ่งการผ่าตัดแก้ไขท่อน้ำตาอุดตันโดยทั่วไปที่พูดถึงกันจะเป็นการผ่าตัดแก้ไขท่อน้ำตาอุดตัน โดยทั่วไปที่พูดถึงกันจะเป็นการผ่าตัดแก้ไขท่อน้ำตาอุดตันที่มีการอุดตันของทางระบายออกของท่อน้ำตาในช่องจมูก การรักษามีดังนี้ การผ่าตัดรักษาแบบมีแผลเป็น เป็นวิธีการรักษาแบบดั้งเดิม โดยการผ่าตัดผ่านทางผิวหนังที่ข้างสันจมูก ส่งผลให้เป็นแผลเป็นบนใบหน้า

แต่ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีการผ่าตัดรักษาภาวะท่อน้ำตาอุดตันแบบไม่มีแผลเป็น ซึ่งเป็นการผ่าตัดผ่านทางรูจมูก โดยใช้กล้องเอนโดสโคป (Endoscope) ส่องผ่านเข้าไปในจมูกเพื่อให้เห็นตำแหน่งที่ผ่าตัดอย่างชัดเจน ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพของผลการผ่าตัด ซึ่งการรักษาด้วยวิธีนี้มีข้อดีกว่าแบบเดิมคือ ไร้แผลเป็น การฟื้นตัวของแผลเร็วกว่า แต่ต้องใช้แพทย์ที่มีความชำนาญและประสบการณ์ในการผ่าตัดส่องกล้อง อีกทั้งการผ่าตัดท่อน้ำตาจะมีการตัดกระดูกและเชื่อมต่อเนื้อเยื่อของถุงน้ำตาและเยื่อบุโพรงจมูก เวลาผ่าตัดอาจมีเสียงดังจากการตัดกระดูก มีเลือดออกในจมูกและไหลลงคอ เพราะผู้ป่วยอยู่ในท่านอนเวลาผ่าตัด โดยผู้ป่วยอาจรู้สึกไม่สบายและกังวลมากในขณะผ่าดัด ดังนั้น แพทย์จึงมักแนะนำให้ดมยาสลบก่อนผ่าตัด สำหรับการเตรียมตัวก่อนผ่าตัดนั้น ผู้ป่วยจะต้องงดยาละลายลิ่มเลือดก่อนผ่าตัดประมาณ 5-7 วัน ไม่ว่าจะเป็นแอสไพริน หรือ Plavix เป็นต้น โดยผู้ป่วยต้องเข้าปรึกษาแพทย์ประจำตัวผู้สั่งยาละลายลิ่มเลือดก่อนหยุดยาว่าสามารถหยุดยาได้หรือไม่ เพราะบางเคสเพิ่งผ่าตัดบอลลูนเส้นเลือดหัวใจไม่ถึงปี ก็ยังไม่สามารถหยุดยาละลายลิ่มเลือดได้ เรื่องการผ่าตัดก็ต้องดูความรีบด่วนของต้อกระจก และปรึกษาจักษุแพทย์ที่จะผ่าตัดว่าสามารถรอไปก่อนได้หรือไม่ นอกจากนี้ควรต้องหยุดวิตามิน อาหารเสริมต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็น เพื่อป้องกันการได้รับสารที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด โดยเฉพาะวิตามินซี วิตามินอี แปะก๊วย น้ำมันตับปลา ก่อนผ่าตัด 1 สัปดาห์ เพราะการผ่าตัดแบบนี้เสี่ยงต่อการเลือดออกมากกว่าการผ่าต้อกระจก แต่สามารถรับประทานยาโรคประจำตัวต่าง ๆ เช่น ยาลดความดันโลหิต ยาเบาหวานได้โดยให้รับประทานต่อเนื่องจนถึงเช้าวันผ่าตัด หากมีประวัติว่ามีความผิดปกติจากการดมยาสลบในครั้งที่ผ่าน ๆ มา หรือมีโรคประจำตัวใด ๆ ผู้ป่วยจะต้องแจ้งกับทางแพทย์เจ้าของไข้ให้ทราบโดยละเอียด ผู้ป่วยต้องทำการตรวจเลือด ตรวจวัดคลื่นหัวใจ เอกซเรย์ปอด ตรวจวัดสัญญาณชีพ รวมถึงงดน้ำและอาหารก่อนถึงเวลาผ่าตัดอย่างน้อย 6 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการติดเชื้อในปอด หากมีการสำลักระหว่างการใส่หรือถอดท่อช่วยหายใจในการดมยาสลบ ควรอาบน้ำและสระผมในเช้าวันผ่าตัดมาให้เรียบร้อย โดยงดการแต่งหน้ามาในเช้าวันที่จะผ่าตัด ถ้าแต่งหน้ามาก็ต้องล้างทำความสะอาดเครื่องสำอางออกให้หมดก่อนการผ่าตัด หากมีการอักเสบติดเชื้อไม่ว่าส่วนใดของร่างกาย เช่น ตากุ้งยิง เชื้อราที่นิ้วมือ แผลอักเสบที่เท้า หรือติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ก็ควรเลื่อนการผ่าตัดออกไปก่อน และหลังจากผ่าตัดควรหยุดพักหลังอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ ไม่ควรจะก้ม ๆ เงย ๆ ยกของหนักเพราะอาจมีเลือดออกได้