กรมการแพทย์ชี้ “น้ำนมแม่คือยา” ป้องกันลูกน้อยห่างไกลโรค
นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมวิชาการนานาชาตินมแม่ในเด็กป่วย ครั้งที่ 2 ซึ่งจัดโดยสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ร่วมกับราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย สภาการพยาบาล และมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย ว่า โดยทั่วไปทารกป่วยยังมีอัตราการได้นมแม่ถึงอายุ 6 เดือนในอัตราที่ต่ำ สถิติของคลินิกนมแม่ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีพบว่า เด็กป่วยได้รับนมแม่ถึงอายุ 6 เดือน คิดเป็นร้อยละ 43.14 หมายถึงมีเด็กป่วยอีกครึ่งหนึ่งที่ไม่สามารถกินนมแม่ใน 6 เดือนแรกได้ องค์การอนามัยโลกได้แนะนำให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือน และหลัง 6 เดือนให้กินนมแม่ควบคู่กับอาหารเสริมตามวัยจนอายุครบ 2 ปี หรือมากกว่านั้น ยิ่งเด็กป่วยยิ่งมีประโยชน์
กรมการแพทย์โดยสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี มีบทบาทและหน้าที่ในการดูแลทารกที่เจ็บป่วยในระดับตติยภูมิหรือสูงกว่า จึงมีการสนับสนุนให้ทารกหรือเด็กเล็กที่เจ็บป่วยได้รับนมแม่ เนื่องจากน้ำนมแม่มีคุณค่าอย่างยิ่ง ยิ่งป่วย หรือคลอดก่อนกำหนด หรือเด็กที่เจ็บป่วย ยิ่งมีประโยชน์ โดยการพัฒนาวิธีการให้นมแม่ในทารกที่มีปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น เป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด โรคทางสมอง โรคทางพันธุกรรม รวมทั้งในแม่ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น แม่ป่วยหรือแม่ต้องได้รับการผ่าตัด การดูแลส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่สำหรับเด็กป่วยและเด็กคลอดก่อนกำหนดจะทำให้เด็กกลุ่มนี้ได้รับนมแม่ตั้งแต่แรกเกิด และเมื่อแม่จะต้องพาลูกกลับบ้านจะช่วยให้แม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ต่อเนื่องตามเป้าหมาย
พญ.ศิราภรณ์ สวัสดิวร ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวเพิ่มเติมว่า มักเข้าใจผิดว่า เด็กป่วย อาทิ ทารกคลอดก่อนกำหนด เด็กที่ยังต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ เด็กที่ต้องผ่าตัดรักษา จะไม่สามารถกินนมแม่ได้ แต่ในความเป็นจริงสามารถให้ทารกกินนมแม่ได้ อาทิ รับจากเต้านม หรือทางสายยางสำหรับให้อาหาร หรือป้อนด้วยช้อนหรือแก้ว เมื่อทารกพร้อมจึงค่อยให้ดูดจากเต้ามารดา ซึ่งน้ำนมแม่ใน 2-3 วันแรกหลังคลอดมีความสำคัญและคุณค่ามากกับทารก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทารกที่ป่วยจะช่วยให้เกิดภูมิต้านทานโรค เป็นทั้งยาและภูมิคุ้มกัน มีผลต่อพัฒนาการของสมอง จอประสาทตา การย่อย การดูดซึมสารอาหาร ลดการเกิดอักเสบของลำไส้ ลดการติดเชื้อในเด็กป่วย ทำให้เด็กป่วยสามารถออกจากโรงพยาบาลได้เร็วกว่าเด็กป่วยที่ไม่ได้รับนมแม่
นอกจากนี้ยังมีการให้ความรู้แก่แม่และครอบครัว เช่น การเสวนานมแม่ การให้ความรู้ขณะฝึกปฏิบัติ การให้ความรู้บุคลากรที่ปฏิบัติงาน การสร้างแม่อาสาในกลุ่มเด็กป่วยกลุ่มต่าง ๆ เช่น ทารกคลอดก่อนกำหนด ทารกกลุ่มอาการดาวน์ โรคหัวใจ กลุ่มแม่บีบน้ำนม พร้อมอุปกรณ์การสอน เช่น ตุ๊กตา เต้านมโมเดล โมเดลกระเพาะอาหารทารกแรกเกิด ทั้งนี้สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีตระหนักถึงความสำคัญของการให้นมแม่ทั้งในเด็กป่วยและเด็กปกติ จึงได้จัดกิจกรรมส่งเสริมให้ทารกได้กินนมแม่อย่างต่อเนื่อง อาทิ ให้แม่อยู่กับลูกตลอด 24 ชั่วโมง ฝึกความพร้อมก่อนกลับบ้าน การจัดตั้งคลินิกนมแม่และให้บริการปรึกษาทางโทรศัพท์สายด่วน 1415 เพื่อให้คำแนะนำและแก้ไขปัญหาสุขภาพทารกแรกเกิด